สวก. จับมือ กรมการแพทย์ ม.อ. และ ป.ป.ส. พัฒนาต้นตำรับยาโดยใช้สารออกฤทธิ์จากพืชกระท่อม หวังผลักดันวงการแพทย์ครั้งแรกของไทย ในด้านบำบัดผู้ติดยาเสพติดร้ายแรงด้วยสมุนไพร แทนการใช้ยาเคมี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. โดย ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร ร่วมกับ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) กรมการแพทย์ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ลงนามบันทึกความเข้าใจ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้านการจัดการห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์จากพืชกระท่อมแบบครบวงจรสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ โดยมี ผศ.ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนายวีระพล ใจจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันสำรวจและควบคุมพืชเสพติด ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อต่อยอดงานวิจัยพัฒนายาจากพืชกระท่อมเพื่อใช้บำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด

ด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตที่มีมาตรฐานทางการแพทย์แบบครบวงจร สู่การผลิตที่จะพัฒนาเป็นยาบำบัด และต่อยอดเชิงพาณิชย์แบบครบวงจรสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด ซี่งนอกจากจะเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านการเกษตร การแพทย์และอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ ยังสอดรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการตั้งเป้าผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของความเป็นเลิศด้านการแพทย์และสุขภาพ

...

นายวิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร กล่าวว่า สวก. เป็นหน่วยงานหลักที่มีพันธกิจในการสนับสนุนทุนวิจัยด้านการเกษตรไทย ด้วยการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาพัฒนาและยกระดับภาคการเกษตรไทย เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพได้มาตรฐานให้กับตลาดทั้งในและต่างประเทศ “สมุนไพร” เป็นหนึ่งในคลัสเตอร์ที่ สวก.ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายและมูลค่าสูง โดยในอดีตพืชกระท่อมมีบทบาทในวิถีชีวิตผู้คน ทั้งในมิติสังคม วัฒนธรรมและการแพทย์ ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนพืชควบคุมสามารถใช้ได้โดยมีการควบคุมที่ปลอดภัย

ผู้อำนวยการ สวก.กล่าวต่อว่า การลงนามในครั้งนี้จึงถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐ และสถาบันการศึกษา ในการร่วมพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมในด้านการแพทย์ โดยการศึกษาวิธีการสกัด “สารไมทราไจนีน” ในพืชกระท่อม ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ลดการปวด ต้านการอักเสบ และที่สำคัญสามารถช่วยลดอาการลงแดง มีแนวโน้มที่จะนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่ติดยาเสพติด โดยในปีนี้มุ่งเน้นกระบวนการวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และคาดว่าในปี 2568 จะเริ่มมีการนำไปทดสอบใช้จริงในมนุษย์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้ติดยาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรม ช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและปัญหาอาชญากรรมในสังคมไทย

นายวิชาญ กล่าวอีกว่า ทั้งยังเป็นการกระตุ้นอุตสาหกรรมทางยาภายในประเทศ ลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงมาใช้ในการบำบัด อันจะส่งผลให้เกิดห่วงโซ่คุณค่าจากการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาและส่งเสริมการแข่งขันของประเทศต่อไป นอกจากการลงนามในครั้งนี้ สวก. ยังได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับ ม.อ. เรื่อง การส่งเสริม สนับสนุนทุนเพื่อการพัฒนาการวิจัยการเกษตรและบุคลากรด้านการเกษตรและการส่งเสริมผลักดันผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์อีกด้วย

...

ด้าน นายนิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะสถาบันการศึกษาที่มีการทำวิจัยมาอย่างยาวนาน ภายใต้วิสัยทัศน์ในการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งคุณค่า เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับแนวหน้าของโลก โจทย์วิจัยของเราจึงหลากหลายและครอบคลุมในทุกมิติของชุมชนและสังคม รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้านการจัดการห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์จากพืชกระท่อมให้ครบวงจร ซึ่งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เองมีทีมวิจัยที่ได้ศึกษาวิเคราะห์ และค้นคว้าให้รู้ถึงสารสำคัญของพืชกระท่อม ทั้งฤทธิ์ที่เกิดขึ้น และการนำเอาไปใช้ประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง

อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวต่อว่า จากปี 2545 ที่กระท่อมยังอยู่ในสถานะพืชเสพติดจนถึงปัจจุบัน ทำให้มีองค์ความรู้ที่จะชี้แนะและให้ข้อมูลแก่หน่วยงานต่างๆ รวมถึงสามารถแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์ของกระท่อมที่จะนำไปใช้ทางการแพทย์ได้ และหวังว่าการลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จะได้สร้างสะพานความร่วมมือและมีช่องทางที่นักวิจัยสามารถใช้ความรู้ทางวิชาการมาช่วยพัฒนาและต่อยอดองค์ความรู้ ให้เกิดเป็นงานวิจัยทางด้านพืชกระท่อมอย่างครบวงจร และจับต้องได้ บนพื้นฐานแห่งความเสมอภาค และการประสานประโยชน์ร่วมกัน เพื่อช่วยแก้ปัญหาและขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า รวมถึงแสดงศักยภาพของนักวิจัยไทยให้ประจักษ์ในสายตานานาประเทศต่อไป

...

ขณะที่ แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ เล็งเห็นและให้ความสำคัญมาโดยตลอดว่าการบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดไม่ใช่เพียงการรักษาอาการฉุกเฉินแล้วหายขาด จำเป็นต้องอาศัยการดูแลอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทุกด้านของชีวิต ทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต ด้านสังคม และการดำเนินชีวิต ดังนั้นกรมการแพทย์โดยสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) โรงพยาบาลธัญญารักษ์ภูมิภาคทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลธัญญารักษ์เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา และปัตตานี ซึ่งมีภารกิจในด้านการรับส่งต่อและบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่มีความยุ่งยากซับซ้อน และยังมีบทบาทในการสนับสนุน ส่งเสริมและสร้างความร่วมมือในการศึกษาวิจัยทางคลินิกพัฒนาเทคโนโลยีการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดที่สมคุณค่า เพื่อการมีสุขภาพที่ดี
ของประชาชนอย่างยั่งยืน

ส่วน นายวีระพล ใจจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันสำรวจและควบคุมพืชเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. กล่าวว่า ป.ป.ส.ให้ความสำคัญในการผลักดันผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงนโยบายโดยเฉพาะการนำมาใช้แก้ไขปัญหายาเสพติด ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการวิจัยต่อยอดพัฒนายาจากพืชกระท่อมเพื่อใช้บำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด โดยต้องผ่านกระบวนทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์ภายใต้จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ และในอนาคตหากมีผลเป็นที่น่าพึงพอใจ สำนักงาน ป.ป.ส. พร้อมผลักดันเชิงนโยบายให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังมีความสอดคล้องกับมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ.2565 ที่มอบหมายให้ ป.ป.ส. เป็นหน่วยประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมพืชกระท่อมให้เป็นพืชเศรษฐกิจ การใช้ตามวิถีชุมชน และคุ้มครองสุขภาพของบุคคล รวมถึงประสานงานให้เกิดการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพืชกระท่อมอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อย่างเป็นระบบต่อไป.

...