หัวจะปวดเมื่อชาวนาโคราชที่ ต.พลกรัง ใช้เวลาทั้งวันนั่งเฝ้านา คอยไล่ฝูงนกพิราบหลายพันตัวที่บินรอจิกกินข้าวเปลือกที่รอเก็บเกี่ยว ชี้หากไม่เฝ้าไว้ จะสร้างความเสียหายแก่ผลผลิตจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ถือว่าเป็นฤดูเก็บเกี่ยวของเกษตรกรโดยเฉพาะชาวนาที่ปลูกข้าวนาปีที่ต่างเตรียมตัวที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิต แต่ต้องมาประสบปัญหาฝูงนกพิราบหลายพันตัวที่คอยบินมาจิกกินเมล็ดข้าวเปลือก ซึ่งส่วนใหญ่จะบินลงมาจิกกินเฉพาะต้นข้าวที่ล้มลงกับพื้นนาทำให้ให้นกพิราบสามารถบินลงมาจิกกินได้ ซึ่งถ้าเกษตรกรไม่คอยไล่นั้นฝูงนกพิราบทั้งหลายนั้นจะบินลงมาจิกกินข้าวเปลือกที่เตรียมเก็บเกี่ยวจนเสียหายจนไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้

...

สำหรับวิธีที่เกษตรใช้ส่วนใหญ่ใช้นั้น จะเป็นการเดินไล่พร้อมกับส่งเสียงดังเพื่อให้นกบินหนี หรือไม่ก็ติดตั้งอุปกรณ์สำหรับเคาะให้เกิดเสียงดังเอาไว้ในนาและอีกวิธีที่นิยมใช้กันคือจุดประทัดไล่ฝูกนกพิราบ อย่างไรก็ตามวิธีที่กล่าวมานั้นไล่ได้เป็นครั้งคราวไม่สามารถไล่ฝูงนกพิราบไปที่อื่นได้ทำให้เกษตรกรจำเป็นต้องนั่งเฝ้านาข้าวของตัวเองตลอดทั้งวัน

นางตรีวิภา ประสิทธิ์สุวรรณ อายุ 46 ปี เกษตรปลูกข้าว ชาวตำบลพลกรัง อ.เมือง จ.นครราชสีมา บอกว่า ตนนั้นปลูกข้าวทั้งหมด 9 ไร่ เป็นข้าวหอมมะลิทั้งหมดซึ่งจะเน้นเอาไว้กินเองในครอบครัว ส่วนเหลือก็จะนำไปขาย โดยข้าวในนาของตนนั้นพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวแล้วรอเพียงรถเกี่ยวข้าวมาเกี่ยวเท่านั้น แต่ในระหว่างรอเก็บเกี่ยวนั้นประสบปัญหากับฝูงนกพิราบที่มารอจิกกินข้าวเปลือกโดยที่ฝูงนกพิราบนั้นจะเลือกต้นข้าวที่ล้มลงบนนาเนื่องจากน้ำหนักจากรวงของข้าวเปลือก เพราะต้นข้าวที่ล้มนั้นฝูงนกพิราบจะลงมากินง่าย จึงทำให้ในช่วงนี้ตนต้องใช้เวลาตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็นนั่งเฝ้านาข้าวของตนเพื่อคอยไล่ฝูงนกพิราบนับพันตัวที่บินวนคอยที่จะบินลงมากินข้าวเปลือก ซึ่งถ้าไม่คอยไล่ฝูงนกพิราบเหล่านี้จะทำลายผลผลิตเสียหายเป็นจำนวนมาก.