ดีเอสไอ เชื่อมีนายทุนอยู่เบื้องหลังหมูเถื่อน 161 ตู้ จ่อประชุม ปปง. 28 ส.ค.นี้ สืบเส้นทางเงิน หลังพบหลักฐานมากกว่า 10 ล้านบาท สั่งหมูนอกเข้าไทยกระทบเกษตรกร ย้ำทำลายฝังกลบ ก.ย.66 นี้ แต่มี 4 ตู้ที่เน่าแล้ว ต้องเผาทิ้งเลยที่แหลมฉบัง

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 ส.ค. 2566 ที่ ห้องรับรองกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชั้น 2 ศูนย์ราชการฯ อาคารเอ ถนนแจ้งวัฒนะ กทม. พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ นางพิชญา ธารากรสันติ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ หัวหน้าพนักงานสอบสวน และ ร.ต.อ.ชาญณรงค์ ทับสาร รองผู้อำนวยการกองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ร่วมแถลงรายละเอียดในประเด็นความคืบหน้าคดีหมูเถื่อนแช่แข็ง 161 ตู้

พ.ต.ต.ณฐพล เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ดำเนินการทางคดีมาอย่างต่อเนื่องนั้น พบว่านอกจาก 17 สายเรือที่มีความเกี่ยวข้องกับการนำเข้าหมูเถื่อนดังกล่าว ยังมีอีก 2 สายเรือ รวมทั้งหมด 19 สายเรือ และหลังจากนี้เราจะออกหมายเรียกพยานแก่สองสายเรือให้เข้าชี้แจงต่อไป และหากนับไปถึงวันที่ 31 ส.ค.นี้ ตู้สินค้าที่เราตรวจยึดมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2565 พบว่าบริษัทที่เป็นเจ้าของสายเรือและตู้ที่มาวางไว้ ยกตัวอย่าง สายเรือแห่งหนึ่งมีการนำเข้า 5 ตู้คอนเทเนอร์ จนถึงปัจจุบันที่เขาได้รับผลกระทบ คิดเป็นความเสียหายประมาณ 11.4 ล้านบาท (ราคาค่าความเสียหาย 5 ตู้คอนเทนเนอร์ จากทั้งหมด 161 ตู้) ส่วนสิ่งที่สำคัญ คือ เราต้องการหาตัวผู้กระทำความผิด และผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

...

ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ หัวหน้าพนักงานสอบสวน กล่าวต่อว่า คณะพนักงานสอบสวนได้กระจายกำลังเข้าตรวจค้น 11 บริษัท หรือ 11 ชิปปิ้งเอกชน ตามสถานที่ต่างๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร ลพบุรี และนครปฐม เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีชื่อในการสั่งสินค้าซากสุกรเข้ามาในไทย ภายหลังการตรวจค้นพบว่าเป็นบริษัทขนาดเล็ก บางบริษัทก็ปิดร้างลง อย่างไรก็ตามจากการขยายผลเราเชื่อว่าจะมีผู้บงการ หรือนายทุนอยู่เบื้องหลังแน่นอน และบางส่วนจาก 11 ชิปปิ้งเอกชนเหล่านี้ เราได้ออกหมายเรียกพยานไปแล้ว

"จากการขยายผล เรายังพบว่ามีอีก 2 บริษัทที่อยู่ภาคใต้ มีส่วนเกี่ยวข้องในขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนครั้งนี้ และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารของ 2 บริษัทนี้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่าบริษัทเป็นของใคร ตั้งอยู่ที่ไหน มีวัตถุประสงค์จัดตั้งเพื่ออะไร และมีใครอยู่ในโครงสร้างบริษัทบ้าง นอกจากนี้จากการประชุมร่วมกันทั้งสามหน่วยงาน ได้แก่ ดีเอสไอ กรมปศุสัตว์ และกรมศุลกากร ในเรื่องของกลางที่นำเข้า พบว่าทั้งหมดเป็นเนื้อสุกรที่ไม่ผ่านการตรวจโรค เข้าข่ายต้องดำเนินการทำลายทั้งหมด จะมีการทำลายภายในเดือนกันยายนแน่นอน และเป็นการทำลายตามขั้นตอนของกรมปศุสัตว์ ส่วนภารกิจที่ดีเอสไอต้องเร่งทำ คือ การขยายผลไปสู่เจ้าของขบวนการที่แท้จริง เนื่องจาก 11 บริษัทที่เราได้ไปตรวจค้นมานั้นไม่น่าจะเป็นผู้สั่งการ และในสัปดาห์หน้าเราจะประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การสืบสวนสอบสวน เราจะใช้การสืบสวนผ่านเส้นทางการเงิน และทรัพย์สิน เพื่อหาผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม" พ.ต.ต.ณฐพล กล่าว

ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ หัวหน้าพนักงานสอบสวน กล่าวอีกว่า หลังจากนี้เราจะมีการประชุมร่วมกับกรมปศุสัตว์เกี่ยวกับสถานที่สำหรับการฝังกลบทำลายหมูเถื่อน เป็นสถานที่ของปศุสัตว์ ภายในพื้นที่จังหวัดสระแก้วเช่นเดิม ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมพื้นที่ของกรมปศุสัตว์ มีการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ตามระเบียบขั้นตอน และในการฝังกลบทำลายเราจะเชิญสื่อมวลชนและประชาชนเข้าร่วมสังเกตการณ์เพื่อป้องกันข้อครหาเรื่องของกลางหล่นหาย เพราะจะต้องมีการขนย้ายของกลางทั้งหมด 161 ตู้ จากท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี มายังพื้นที่ จ.สระแก้ว อีกทั้งในการทำลายของกลางนั้น เจ้าของตู้ที่แท้จริง (19 สายเรือ หรือบริษัทว่าจ้าง 19 สายเรือ) จะต้องเป็นผู้ดำเนินการออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด บริษัทสายเรือส่วนใหญ่ก็ได้ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายดังกล่าว แล้วก็เป็นเรื่องของกรมปศุสัตว์ที่จะต้องไปเรียกค่าเสียหายจากผู้กระทำความผิดด้วย

...

พ.ต.ต.ณฐพล เผยด้วยว่า สำหรับการขนย้ายของกลาง เท่าที่มีการพูดคุยกับกรมศุลกากร เราจะมีการขนย้ายในช่วงเช้ามืดจากท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เพื่อไม่ให้กระทบต่อการขนย้ายสินค้าของทางท่าเรือ ใช้เวลาไม่เกิน 6 ชั่วโมงถึงที่หมาย โดยจะนำออกครั้งละประมาณ 10 คัน อีกทั้งการต้องตรวจโรคที่เกี่ยวกับหมูจึงทำให้ล่าช้า คาดว่าจะใช้เวลา 4 วัน ในการขนย้ายครบทั้ง 161 ตู้ ซึ่งคันไหนถึงก่อนก็เทลงดินก่อนได้เลย และดีเอสไอจะรับหน้าที่ดูแลขนย้ายของกลางทั้งหมด ทั้งนี้มีหมูเริ่มเน่าแล้ว 4 ตู้ และใน 4 ตู้นี้จะมีรถเผาของกรมปศุสัตว์ที่จะดำเนินการเผาทิ้งที่ท่าเรือแหลมฉบัง เพราะถ้าหากขนย้ายไปฝังกลบด้วยก็จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดได้

ด้าน ร.ต.อ.ชาญณรงค์ ระบุว่า เรารับคดีหมูเถื่อนมาเป็นคดีพิเศษ เพราะเกษตรกรไทยได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะราคาหมูหน้าฟาร์มที่สามารถจำหน่ายได้ เป็นราคาที่เขาขาดทุนอยู่ประมาณ กิโลกรัมละ 30 บาท และในหนึ่งวันคนไทยทั่วประเทศบริโภคเนื้อหมูอยู่ที่ 5 ล้านกิโลกรัม ดังนั้นเกษตรกรไทยจะเสียหายวันละ 150 ล้านบาท และจากการปฏิบัติการอย่างเข้มข้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทย ขณะนี้ราคาหมูสดหน้าฟาร์มกับราคาที่เขาขาดทุน ตอนนี้ลดลงเหลือส่วนต่างของต้นทุนกับที่เขาขายได้ อยู่ที่ประมาณ 12 บาท เราช่วยให้พวกเขาขาดทุนได้น้อยลง แต่วัตถุประสงค์คือต้องการให้ราคาเนื้อหมูกลับมาสู่ภาวะความจริง ในเมื่อเกษตรกรไทยเลี้ยงสุกรก็ต้องขายได้ราคาบ้าง ไม่ใช่ขาดทุนสะสม

...

รองผู้อำนวยการกองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ระบุถึงการสืบสวนขยายผลเรื่องเส้นทางการเงินว่า ในวันจันทร์ที่ 28 ส.ค.นี้ เราได้เชิญเจ้าหน้าที่ ปปง.มาร่วมตรวจสอบเส้นทางเงิน เพราะการนำเข้าหมูเถื่อนนั้น ต้องใช้เงินในการสั่งซื้อเนื้อหมูที่ต่างประเทศ แต่ในระหว่างนี้เราพบผู้เกี่ยวข้องในเส้นทางการเงิน พบว่ามีการโอนเงินจากบุคคลใดบ้างเพื่อไปชำระค่าเนื้อหมูปลายทาง ซึ่งตัวบุคคลที่ทำธุรกรรมทางการเงิน มีทั้งที่อยู่ในโครงสร้างของบริษัท รับหน้าที่เป็นกรรมการบริษัท และมีทั้งที่อยู่นอกโครงสร้างของบริษัทด้วย การที่ตัวบุคคลใดอยู่นอกโครงสร้างบริษัท และไม่ได้มีอำนาจในการทำธุรกรรม เราต้องหาสาเหตุว่าทำไมพวกเขาถึงมีเส้นทางการเงินเกิดขึ้น

ส่วนจำนวนเงินที่พบว่ามีการโอนไปสั่งซื้อหมูนั้น ค่อนข้างมีจำนวนมาก เบื้องต้นพบช่วงปีที่ผิดสังเกต คือปี 64-65 เพราะเป็นปีที่เกิดการนำเข้าเนื้อสุกรแช่แข็ง เนื่องจากมีการนำเข้าที่เยอะผิดปกติ ทั้งนี้พบบริษัทนำเข้า 10 แห่งที่มีเส้นทางเงินพัวพันในการสั่งซื้อหมู และแต่ละบริษัทก็มีกรรมการผู้มีอำนาจประมาณ 2-3 ราย ที่มีธุรกรรมทางการเงิน ดังนั้นแต่ละบริษัทจะมีผู้เกี่ยวข้องในเรื่องการทำธุรกรรมไม่ต่ำกว่า 5 ราย เบื้องต้นเกินหลักสิบล้านบาทแน่นอนสำหรับ 470,000 กิโลกรัม หรือ 161 ตู้คอนเทนเนอร์

...

ร.ต.อ.ชาญณรงค์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการสอบปากคำในฐานะพยานแก่บริษัทชิปปิ้งเอกชนบางแห่งให้การไม่ค่อยเป็นประโยชน์ มีการปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับการสำแดงเท็จกับพนักงานสอบสวน เป็นเรื่องปกติ แต่เราจะดำเนินการสอบสวนขยายผลเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงทั้งหมด.