กระทรวงเกษตรฯ ขานรับนโยบายรัฐบาล มอบกรมฝนหลวงฯ จัดเตรียมเปิดปฏิบัติการณ์ทำฝนเทียมควบคู่ไปกับการเร่งประชาสัมพันธ์หยุดเผาไร่น่า รับมือและบรรเทาฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 พื้นที่ภาคเหนือ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เริ่มต้นตั้งแต่เดือน ธ.ค.นี้ ล่าสุด "รมช.อิทธิ" ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติด้วยตัวเอง

เมื่อวันที่ 28 พ.ย. นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่ภาคเหนือ ณ หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ว่า ในช่วงเดือน ธ.ค.–มี.ค.ของทุกปี ประเทศไทยมักประสบกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เกินเกณฑ์มาตรฐานและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากสาเหตุการเผาป่า การก่อสร้าง การคมนาคมและการทำอุตสาหกรรม ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งรัฐบาลมีความห่วงใยสุขภาพอนามัยของพี่น้องประชาชนและได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองเป็นวาระแห่งชาติและมอบหมายให้หน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการแก้ไขปัญหาดังกล่าว อีกทั้งภายใต้นโยบายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ คำนึงผลกระทบจากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับต้นๆ จึงได้มีมาตรการป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน โดยเน้นย้ำว่า การปฏิบัติการ เพื่อลดฝุ่น PM 2.5 มุ่งดูแลสุขภาพของประชาชนให้ดีขึ้นและยังเป็นการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือและพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จึงได้ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ภาคเหนือและพื้นที่เป้าหมายอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจาก PM 2.5 โดยจะเริ่มในเดือน ธ.ค.นี้ เป็นต้นไป เพื่อบรรเทมความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด

...

"วันนี้ ต้องการมาติดตามสถานการณ์หมอกควัน ฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งได้มอบหมายกรมฝนหลวงฯ เร่งปฏิบัติงานในเชิงรุก โดยจากการขึ้นบินสำรวจยังพบว่า  มีการเผาในบางจุด จึงต้องเร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ต่อพี่น้องเกษตรกรและประชาชน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมฝนหลวงฯ ตั้งเป้าหมายว่า การปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อลดผลกระทบจาก PM 2.5 ในครั้งนี้ มีตัวชี้วัดว่า จะต้องเห็นดอยสุเทพในทุกวัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ประชาชนและนักท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบน้องที่สุด" นายอิทธิ กล่าว

ด้านนายราเชน ศิลปะรายะ รองอธิบดีกรมฝนหลวงฯ ด้านปฏิบัติการ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฝนหลวงฯ ในฐานะหน่วยงานที่ปฏิบัติภารกิจด้านการดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งนอกเหนือจากการปฏิบัติการฝนหลวงช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งและการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนแล้ว ยังมีภารกิจการบรรเทาปัญหาหมอกควัน ไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงพื้นที่ภาคเหนือที่ประสบปัญหาเป็นประจำทุกปีด้วย ในปี 2568 นี้ กรมฝนหลวงฯ ขานรับนโยบายของรัฐบาล จึงได้จัดทำแผนการดัดแปรสภาพอากาศประจำปี 2568 เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงและการดัดแปรสภาพอากาศบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เกินเกณฑ์มาตรฐาน การสร้างความชุ่มชื้นให้กับป่าไม้ ป้องกันการเกิดไฟป่า ปัญหาหมอกควัน โดยมีแผนการตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.2567-วันที่ 30 เม.ย.2568 จำนวน 6 หน่วยปฏิบัติการ ได้แก่ 1. หน่วยฯ จ.ระยอง 2. หน่วยฯ จ.กาญจนบุรี 3. หน่วยฯ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 4. หน่วยฯ จ.เชียงใหม่ 5. หน่วยฯ จ.แพร่ 6. หน่วยฯ จ.ตาก โดยจัดเตรียมเครื่องบิน จำนวน 13 ลำ ได้แก่ เครื่องบินขนาดใหญ่ (ชนิด CN 235 ) จำนวน 2 ลำ เครื่องบินขนาดกลาง (ชนิด CASA) จำนวน 5 ลำ และ เครื่องบินขนาดเล็ก (ชนิด CARAVAN) จำนวน 6 ลำ ปฏิบัติการฝนหลวงและปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศ จำนวน 3 เทคนิค ได้แก่

1. การปฏิบัติการฝนหลวงในขั้นตอนการก่อกวน โดยใช้สารฝนหลวงสูตร 1 (โซเดียมคลอไรด์) ปฏิบัติการบริเวณต้นลม และโดยรอบมวลของฝุ่นบริเวณพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อก่อเมฆและเพิ่มปริมาณเมฆในพื้นที่เป้าหมาย

2. การปฏิบัติการฝนหลวงในขั้นตอนการเลี้ยงให้อ้วน โดยใช้สารฝนหลวงสูตร 8 แคลเซียมออกไซด์ หรือสูตร 6 แคลเซียมคลอไรด์ ปฏิบัติการบริเวณต้นลม และโดยรอบมวลของฝุ่นบริเวณพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมากที่สุด เพื่อเลี้ยงเมฆให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีแรงดูดซับฝุ่นละออง

3. การปฏิบัติการเทคนิคการลดอุณหภูมิชั้นบรรยากาศผกผัน โดยการโปรยน้ำแข็งแห้งหรือการสเปรย์น้ำ เพื่อระบายฝุ่นละอองบริเวณระดับ inversion (ชั้นอุณหภูมิผกผัน) หรือสูงกว่าระดับ inversion (ชั้นอุณหภูมิผกผัน) เพื่อทำให้เกิดช่องระบายฝุ่นละอองขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศด้านบน อย่างไรก็ตาม สำหรับการปฏิบัติการฝนหลวงในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จะต้องวางแผนอย่างระมัดระวัง ซึ่งจะต้องอาศัยทิศทางลมเป็นตัวกำหนดในการก่อเมฆเพื่อให้ลมพัดพาเมฆเข้ามาในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยหากลมมาจากทิศตะวันออกจะปฏิบัติการจากฐานที่ตั้ง จ.ระยอง หากลมมาจากทิศตะวันตก จะปฏิบัติการมาจากฐานที่ตั้ง จ.กาญจนบุรี สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด จะกำหนดโซน ความสูง และช่วงเวลาการบินให้กับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เพื่อปฏิบัติการบินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามกฎการบินสากล รวมถึงระมัดระวังพื้นที่การเกษตรบริเวณจังหวัดใกล้เคียงกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่กำลังเก็บเกี่ยวในฤดูนี้อีกด้วย โดยขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่ากรมฝนหลวงและการบินเกษตร จะปฏิบัติภารกิจอย่างเต็มที่ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด