สมาคมการค้ามันสำปะหลังไทยเผย โรคใบด่างมันสำปะหลังทำผลผลิตลดลง 10-40% หวั่นสร้างความเสียหายถึงแสนล้าน จับมือภาครัฐเร่งให้ความเกษตรกรรับมือมหันตภัยโรคใบด่าง วิกฤตมันสำปะหลังไทย

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เป็นประธานเปิดงานสัมมนามหันตภัยโรคใบด่าง วิกฤตมันสำปะหลังไทยไม่มีทางรอด ซึ่งจัดโดยสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย ร่วมกับสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย, สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย และสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

โดยนายพิชัยกล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์และทุกหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้การสนับสนุนในทุกด้านที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลังและการเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกร รวมถึงการวิจัยและพัฒนาตลอดจนการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ประเทศไทยของเราสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้อย่างเข้มแข็งต่อไป

นายธำรงค์เดช อินทนิเวศน์ อุปนายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย กล่าวว่า โรคใบด่างมันสำปะหลังเกิดจากเชื้อไวรัส Cassava mosaic virus (CMV) ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้จากการนำท่อนพันธุ์ที่ติดเชื้อไปปลูกและการระบาดผ่านแมลงหวี่ขาวยาสูบ การแพร่ระบาดของโรคนี้ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเกษตรกรและอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของประเทศ โดยมีผลผลิตลดลงมากถึง 10-40% และหากไม่มีมาตรการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกและเศรษฐกิจของประเทศในวงกว้าง ซึ่งมูลค่าความเสียหายคาดว่าอาจสูงถึง 100,000 ล้านบาทต่อปี

...

โดยในปี 2562-2564 หน่วยงานภาครัฐได้เริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยการกำจัดต้นที่เป็นโรคและใช้พันธุ์ทนทานในพื้นที่ระบาด แต่จากการสำรวจล่าสุดของคณะทำงานในเดือนสิงหาคม 2567 พบว่าโรคใบด่างยังคงแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ได้แก่ ชลบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว นครราชสีมา สุรินทร์ ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ อุดรธานี ลพบุรี นครสวรรค์ พิษณุโลก กำแพงเพชร และกาญจนบุรี ซึ่งแสดงถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาที่เร่งด่วนและเข้มข้นมากขึ้น

อย่างไรก็ตามในงานสัมมนาฯ ครั้งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาได้ให้ข้อมูลและแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยเน้นที่การใช้พันธุ์ต้านทาน การควบคุมแมลงหวี่ขาวยาสูบ และการเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบและควบคุมโรคในพื้นที่ปลูก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงขึ้นอีก พร้อมสร้างความตระหนักรู้ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของสมาคมต่าง ๆ ในการร่วมมือกันเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมการเกษตรและเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้