กระเจี๊ยบเป็นพืชผักส่งออกที่มีความสำคัญของไทย มีตลาดการค้าหลักอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในแต่ละปีมีการนำเข้ามากถึง ร้อยละ 95 ทั้งในรูปฝักสดหรือแช่เย็นและแช่แข็ง และยังสามารถขยายฐานการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ได้
ประเทศไทยมีเนื้อที่เพาะปลูกกระเจี๊ยบเขียวรวมทั้งประเทศ 3,797 ไร่ แต่การผลิตกระเจี๊ยบเขียวยังพบปัญหาในด้านการผลิตอยู่เสมอ ทำให้มีผลผลิตไม่เพียงพอต่อความ ต้องการของตลาด สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาการระบาดของศัตรูพืช และคุณภาพฝักไม่ได้ตามที่ตลาดญี่ปุ่นต้องการ
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาญจนบุรี กรมวิชาการเกษตร จึงวิจัยและพัฒนาพันธุ์จนได้...กระเจี๊ยบเขียวพันธุ์ กวก.กาญจนบุรี 1
“กระเจี๊ยบเขียวพันธุ์ใหม่ ได้มาจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่าง L09 x M14 ซึ่งเป็นสายพันธุ์คัดเลือกจากพันธุ์อินเดีย ที่ให้ฝักมีคุณภาพตามมาตรฐานการส่งออกและต้านทานต่อโรคเส้นใบเหลือง เมื่อปี 2558 แล้วนำมาปลูกคัดเลือกร่วมกับลูกผสมอื่นๆ รวม 50 คู่ผสมระหว่างปี 2559-2561 ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาญจนบุรี คัดเลือกได้สายพันธุ์ที่มีลักษณะทางการเกษตรดี ให้ผลผลิตสูง ลักษณะฝักตรง สีเขียว-เขียวเข้มได้คุณภาพตามมาตรฐานการส่งออก 7 สายพันธุ์ แล้วนำไปปลูกร่วมกับพันธุ์เปรียบเทียบ พิจิตร 1 พันธุ์การค้า (Bella) และ พจ.03 วางแผนการทดลองแบบบล็อกสุ่มสมบูรณ์ระหว่างปี 2562-2563 ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาญจนบุรี”
...
นางสาวนันทนา โพธิ์สุข นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาญจนบุรี เผยถึงผลการปลูกเปรียบเทียบ ใน 2 ฤดูปลูก พบว่า กระเจี๊ยบเขียวสายพันธุ์ KC6203 ให้ผลผลิตสูง ฝักสีเขียวคุณภาพอื่นตรงตามมาตรฐานการส่งออกและตลาดภายในประเทศ
คณะนักวิจัยจึงได้เสนอขอรับรองสายพันธุ์ KC6203 เป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตร ผ่านการรับรองพันธุ์เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 โดยใช้ชื่อพันธุ์ว่า “กระเจี๊ยบเขียวพันธุ์ กวก.กาญจนบุรี 1”
สำหรับลักษณะเด่นของกระเจี๊ยบเขียวพันธุ์ใหม่ ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ยไร่ละ 3,069 กก. ในขณะที่พันธุ์พิจิตร 1 ให้ผลผลิตไร่ละ 2,561 กก. และพันธุ์การค้าให้ผลผลิตไร่ละ 2,591 กก. ผลผลิตได้มาตรฐานการส่งออกเฉลี่ยไร่ละ 2,375 กก. ในขณะที่พันธุ์พิจิตร 1 ผลผลิตได้มาตรฐานการส่งออกไร่ละ 1,459 กก. และพันธุ์การค้าผลผลิตได้มาตรฐานการส่งออกไร่ละ 2,212 กก.
นอกจากนี้ กระเจี๊ยบเขียวพันธุ์ กวก.กาญจนบุรี 1 ยังมีรูปร่างฝักตรง ห้าเหลี่ยม ขนนุ่ม สีเขียวสม่ำเสมอทั้งฝักคุณภาพฝักได้ตามมาตรฐานการส่งออกและตลาดภายในประเทศ มีความยาวฝัก 7-12 ซม. ก้านฝักเปราะ ทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตง่าย ลักษณะต้นตั้งตรงความสูงเฉลี่ย 103 ซม. กิ่งแขนงให้ฝักคุณภาพ มีอายุเก็บเกี่ยว 46 วันหลังปลูก
ที่สำคัญเกษตรกรยังสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกในฤดูกาลต่อไปได้โดยไม่กลายพันธุ์ หากมีการผลิตเมล็ดพันธุ์อย่างถูกต้องเหมาะสม
เป็นพันธุ์ที่เหมาะสำหรับปลูกในสภาพการผลิตพืชผักทั่วไป ในเขตพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันตก โดยเฉพาะจังหวัดกาญจนบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาญจนบุรี ได้สร้างแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ระหว่างปี 2565-2566 มีเมล็ดพันธุ์คัดแล้ว 30 กิโลกรัม สามารถนำไปปลูกขยายได้ในพื้นที่ 30 ไร่ เกษตรกรและผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 03-4552-0367 ในเวลาราชการ.
...
ชาติชาย ศิริพัฒน์
คลิกอ่าน "ข่าวเกษตร" เพิ่มเติม