กมธ.ประมงจี้กรมประมง-ทัพเรือ เร่งคุมน่านน้ำไทยหลังเวียดนามรุกล้ำลอบ เข้าทำประมงต่อเนื่อง หวั่น หลังชาวประมงไทยไม่มั่นใจ จนท.รัฐแฉภาพกลางอ่าวไทยหลายครั้ง แต่ไม่เห็นเรือรบไทยออกมาดูแล พร้อมพูดดักคอ จนท.ไม่ควรกดดันคนแจ้งข้อมูลการกระทำผิด
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566 นายวิทยา แก้วภราดัย รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและเสนอแนะการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการประมงให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับผู้ประกอบการประมง สภาผู้แทนราษฎร หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า กรรมาธิการกิจการประมง ได้เปิดเผยว่าหลังจากที่มีการเผยแพร่ภาพกองเรือประมงเวียดนามรุกล้ำน่านน้ำไทยเข้าทำประมงในอ่าวไทย โดยเฉพาะหน้าอ่าวนครศรีธรรมราชระหว่างแนวเกาะสมุยและเกาะกระ หลายครั้งจนเป็นข่าวที่ถูกให้ความสนใจ
รองประธานกรรมาธิการกิจการประมง กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ กรรมธิการฯ ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลเรื่องนี้ หลังจากนั้นกองทัพเรือได้จับกุมมาได้ 1 ลำพร้อมลูกเรือ จริงๆ คิดว่าจะยุติแต่ 2-3 วันนี้ชาวประมงยังร้องว่ามีเรือประมงเวียดนามยังเข้ามาต่อเนื่องหลายสิบลำ เท่าที่สอบถามกรมประมงและตัวแทนทัพเรือ ได้ความว่าเข้ามาตามฤดูกาลคลื่นใหญ่ จับสัตว์น้ำโดยเฉพาะปลิงทะเล เรือเหล่านี้มาเป็นขบวน วานนี้ได้ติดต่อ รองผู้อำนวยการ ศรชล. ภาค 2 พลเรือตรี ไชยนันท์ ชูใหม่ บอกว่า ทร.ควรขยับไปติดตาม ซึ่งเข้าใจว่าวันนี้น่าจะมีความคืบหน้า
...
นายวิทยา กล่าวอีกว่า ได้พยายามหารือกับกรมประมงและทัพเรือว่า กรมประมงควบคุมเรือด้วยกฎหมายที่ค่อนข้างรุนแรงขณะนี้มีฐานข้อมูลเรือไทยทั้งหมด โดยระบบดาวเทียมเรารู้แน่ นอกเหนือจากนั้นน่าจะรู้ว่ามีเรือไม่ปรากฏสัญชาติ กองทัพเรือหรือตำรวจน้ำควรเข้าไปดำเนินการ กรมประมงควรเป็นเจ้าภาพการสื่อสาร เมื่อพบเห็นควรที่จะแจ้งผ่านกรมประมงและประสานกับหน่วยงานตำรวจน้ำหรือ ทร.ต้องยอมรับว่าชาวประมงแจ้งแล้วอย่าไปกดดัน เพราะบางครั้งมีการแจ้งแล้วบางหน่วยงานเข้าไปกดดันไปสอบหาข้อมูลกันถึงบ้านคิดว่าไม่ควร พลเมืองดีไม่ควรได้รับการกดดัน ต่อไปจะไม่มีพลเมืองดี ไม่ใครกล้าแจ้ง ส่วนราชการควรให้เกียรติคุณกับคนแจ้งข้อมูลมากกว่า
วานนี้ (8 ธ.ค. 66) ไต้ก๋งเรือประมงพาณิชย์ไทยรายหนึ่งในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออก ที่ทำประมงอยู่ในอ่างไทย ได้บันทึกและส่งภาพให้กับผู้สื่อข่าว เผยแพร่ภาพนี้ได้ถ่ายไว้เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และภาพล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ช่วงบ่ายกองเรือประมงเวียดนามหลายลำ ได้เข้ามาทำการประมงโดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าคราดปลิงทะเล บริเวณหน้าอ่าวนครศรีธรรมราช โดยได้ส่งพิกัดดาวเทียมจุดที่ได้บันทึกภาพมาให้ด้วย ระยะในภาพห่างจากชายฝั่งนครศรีธรรมราช แค่ 32 ไมล์ทะเลเท่านั้น ยืนยันว่าเป็นน่านน้ำไทยและอยู่ในอาณาเขตของจังหวัดนครศรีธรรมราช บางช่วงบางตอนในคลิปภาพผู้บันทึกภาพได้ระบุจำนวนเรือที่อยู่ในพิสัยว่ามีมากกว่า 50 ลำได้กระจัดกระจายไปคราดปลิงอย่างเสรี
นอกจากนั้นยังบอกด้วยว่าเรือประมงไทยบางลำ ได้แจ้งไปยังฐานทัพเรือภาค 2 ถึงสถานการณ์รุกล้ำน่านน้ำ แต่ปรากฏว่าไม่เห็นมีเรือของทางการออกมาดำเนินการผลักดันเรือประมงเวียดนามเหล่านี้ยังทำประมงได้ตามปกติ แม้แต่เรือประมงไทยเองพบเห็นเรือกองทัพเรือได้น้อยมากหรือแทบไม่พบเลย บรรดาเรือไทยไม่แปลกใจที่เรือเวียดนามมีเป็นจำนวนมากเช่นนี้
ชาวประมงเจ้าของภาพยังได้ขอร้องว่า ให้ปกปิดที่มาของภาพ และชื่อเรือที่บันทึกภาพเนื่องจากเกรงว่าจะถูกเจ้าหน้าที่เข้าติดตามกดดัน ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้แจ้งว่าก่อนหน้านี้ได้เคยเผยแพร่เรื่องนี้แล้ว มีการติดตามค้นหาผู้สื่อข่าวเช่นกันว่าเป็นใคร และพยายามหาต้นตอที่มาของภาพแต่ไม่สามารถดำเนินการใดได้ เนื่องจากภาพและข้อเท็จจริงเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง และเป็นที่น่าสังเกตว่าหลังจากที่ถูกเผยแพร่ มีการนำเรือจากทัพเรือภาคที่ 2 ออกปฏิบัติการ จับกุมได้เพียง 1 ลำ ขณะที่เรือเวียดนามอีกจำนวนมากล่าถอยออกไปจากน่านน้ำคล้ายกับรับรู้ข้อมูลข่าวการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่
...
ชาวประมงรายนี้ ระบุด้วยว่า การคลาดปลิงทะเลของกองเรือเวียดนาม ได้สร้างความเสียหายให้กับหน้าดินอย่างรุนแรง โดยเฉพาะสัตว์น้ำที่ไม่ต้องการ เช่น ดอนหอยขนาดใหญ่ แนวปะการัง หรือแม้กระทั่งเครื่องมือประมงของเรือไทยที่อยู่ในแนวคราดปลิง และเชื่อว่าหอยจำนวนมหาศาลที่ถูกคลื่นซัดมาเกยหาดก่อนหน้านี้ เกิดจากกองเรือคราดปลิงเวียดนามคราดหาปลิงแต่ได้ทำลายจุดที่เรียกว่า “ดอนหอย” คือ มีหอยอยู่ปริมาณมากคล้ายเนิน ทำให้เสียความสมดุลไม่มั่นคงเมื่อคลื่นซัดรุนแรง จึงถูกซัดหอบเข้าหาฝั่งตามที่เคยปรากฏเป็นข่าว.