"อัจฉริยะ" นำกลุ่มผู้เลี้ยงหมูรายย่อยกว่า 200 ราย ยื่นเอาผิดนายด่าน-อธิบดีกรมศุลฯ ปล่อยหมูเถื่อนเข้าเมือง เผยตกค้างท่าเรือแหลมฉบังกว่า 2 พันตู้ ไม่ได้มีแค่ 161 ตู้ตามข่าว ร้องดีเอสไอกวาดล้างให้ครบทุกท่าเรือ เตือนอย่าให้มีขบวนการหมูเถื่อนอีก หลังผู้เลี้ยงสุกรไทยเจ๊งยับ
วานนี้ (7 ส.ค. 2566) ที่ อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กทม. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศกว่า 200 ราย เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมี พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นตัวแทนรับเรื่อง โดยขอให้ตรวจตู้คอนเทนเนอร์หมูเถื่อนที่ยังซ่อนอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบังอีกหลายพันตู้ และร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีอาญากับนายด่านกรมศุลกากรแหลมฉบัง ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบร่วมกับพวก
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า สืบเนื่องกรณีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนที่ผ่านมา นายด่านกรมศุลกากรแหลมฉบังมีการแถลงข่าวเกี่ยวกับจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำเข้าซากสุกรแช่แข็ง หรือหมูเถื่อน ว่ามีการตกค้างอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี มากกว่า 1,000 ตู้ ไม่นับรวม 161 ตู้ วันนี้เราจะมีการประชุมร่วมกับดีเอสไอ พบว่าจากที่เจ้าหน้าที่ไปเข้มงวดกับท่าเรือแหลมฉบัง ยังมีการลักลอบนำออกมา 2-3 ตู้ และเมื่อดูไปเรื่อยๆ จะพบว่าการทะลักของหมูเถื่อนนั้นไม่มีหยุดหย่อน จากท่าเรือแหลมฉบังขยายมายังท่าเรืออื่นๆ ด้วย ทั้งท่าเรือคลองเตย ท่าเรือมุกดาหาร เป็นต้น เหมือนกับว่าพอดำเนินการกับจุดใด ขบวนการเหล่านี้ก็จะมีการเปลี่ยนเส้นทาง โดยมีตัวหลักเกี่ยวข้องคืออธิบดีกรมศุลกากร อีกทั้งภรรยาของอธิบดีกรมศุลกากรยังเป็นเลขานุการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะที่ผ่านมาตนไม่เคยเห็นพลเอกประยุทธ์ออกมาช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรสักครั้ง และในสองเดือนนี้ถ้ายังไม่มีการแก้ไขปัญหาหมูเถื่อนอย่างจริงจังเด็ดขาด เกษตรกรไทยจะเจ๊ง ไม่มีผู้เลี้ยงรายย่อย ประชาชนจะได้รับหมูแพงเนื่องจากจะถูกควบคุมโดยกลไกจากนายทุน
...
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า ระหว่างการดำเนินการที่ผ่านมาอธิบดีดีเอสไอทำงานร่วมกับเราโดยไม่หยุดหย่อน แต่เพียงเรายังตรวจสอบพบว่ามี 19 สายเรือที่มีการขนหมูเถื่อนเข้ามา พบสองสายเรือได้นำเข้ามาตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปัจจุบันมากกว่า 2,000 ตู้ จากที่กรมศุลกากรบอกจับกุมได้ 161 ตู้นั้น ทำให้เห็นว่ามีการหลุดรอดไปแล้วกว่า 2,000 ตู้ มีมูลค่าต่อตู้ประมาณ 3.5 ล้านบาท ดังนั้นถ้าหลุดรอดไป 10,000 ตู้ จะมีมูลค่าประมาณ 35,000 ล้านบาท ถือเป็นเรื่องที่เรายอมรับไม่ได้ นอกจากนี้ตนขอเรียนไปยัง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.ยธ. ที่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าจะต้องให้มีการกลบฝัง 161 ตู้ให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้นั้น นายสมศักดิ์ ไม่เข้าใจปัญหา เพราะปัญหาจริงๆ คือกรมศุลกากรมีการทุจริตระดับชาติ ถ้ากรมศุลกากรไม่สามารถให้นำเข้าหมูเถื่อนเหล่านี้ได้ ปัญหาคงไม่เกิดขึ้น อีกทั้งอธิบดีกรมศุลกากรยังสร้างให้เป็นโรงละครแห่งชาติ อ้างเป็นท่าเรือสีขาว แต่แท้จริงเป็นท่าเรือที่สกปรกโสมมมานานแล้ว การสำแดงเท็จต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท่าเรือแหลมฉบับ แม้กระทั่งนายด่านก็เป็นมือขวาของอธิบดีกรมศุลกากร มีการเรียกรับสินบน ไม่ถูกย้าย หรือถูกดำเนินคดี ปัญหาทั้งหมดที่ดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรไม่ได้นั้น ตนก็ไม่อยากให้ดีเอสไอได้รับความเสียหายต่อรูปคดี เพราะเราอยากดำเนินคดีทั้งนายด่านท่าเรือแหลมฉบัง และอธิบดีกรมศุลกากร
นายอัจฉริยะ กล่าวถึงเป้าหมายในการพูดคุยวันนี้กับดีเอสไอ คือ ต้องการให้มีการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ที่เหลืออยู่ ณ ท่าเรือแหลมฉบังนับ 1,000 ตู้ ตามที่นายด่านกรมศุลกากรได้มีการชี้แจงกับสื่อมวลชนก่อนหน้านี้ และที่ท่าเรืออื่นๆ ด้วย พร้อมฝากเรื่องการกลบฝังทำลายของกลาง เพราะที่ผ่านมามีการทุจริตมีการกลบฝังไม่จริง ทำทีให้สื่อมวลชนไปทำข่าวเปิดปากหลุมเอาหมูไปโยนไม่กี่ตู้ แต่จริงๆ มีหลายตันแล้วลักลอบแอบเอาออกไปขาย สำหรับข้อมูลทั้งหมดต้องขอบคุณทางสายเรือที่ได้มอบให้กับดีเอสไอด้วย
นายอัจฉริยะ ยังกล่าวถึงการฝังกลบทำลายของกลาง ตนมองว่ากรมปศุสัตว์วางแผนคิดทำอะไรอยู่ และการทำลายของกลางจะต้องมีทั้งหน่วยงานดีเอสไอ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เกษตรกรไทย ต้องเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน เพราะที่ผ่านมามีกรณีศึกษามาแล้ว เช่น ประสบการณ์ที่จังหวัดเพชรบุรีมีการฝังกลบของกลางไม่ครบ ของกลางล่องหน มองว่าต้องมีการชั่งรถ ควบคุมรถขบวนขนย้ายของกลาง มีแผนเช็กน้ำหนัก จะให้มีการตั้งคณะกรรมการ เพราะระหว่างการขยับขนย้ายของกลางอาจหายได้ ในแง่เกษตรกรก็ไม่อยากให้มีแค่ 161 ตู้ อยากให้ของกลางถูกทำลายครบทั้งหมด
...
ด้านนายวิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย ประธานกลุ่มพันธมิตรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เราได้รับผลกระทบชัดเจน ไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะราคาหมูก็ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งความเดือดร้อนไม่มีสุญญากาศ คาดว่าไม่เกินสองเดือนเกษตรกรไทยน่าจะล่มสลายแล้ว วันนี้จึงเดินทางมาเพื่ออยากให้ดำเนินการให้จบ จะเหลือกี่พันตู้ก็อยากให้จบ ทั้งในท่าเรือสงขลา หรือในภาคใต้ที่ค่อนข้างหนัก เพราะถ้าดำเนินการท่าเรือนี้จบ ท่าเรืออื่นๆ ก็ยังมี อย่างไรก็ตามวันนี้เรามีต้นทุนสำหรับหมู 96 บาท แต่ขายได้เพียง 46 บาท (ราคาในพื้นที่ภาคอีสาน) จะต้องเป็นราคานี้อีกนานเท่าไร
ประธานกลุ่มพันธมิตรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยแห่งประเทศไทย กล่าวต่อว่า หมูโตกินอาหารทุกวัน อย่างประเทศเพื่อนบ้านต้นทุนเขาอยู่ที่ 70 บาท ดังนั้นส่วนต่าง 26 บาทใครคาบไปรับประทาน เมื่อต้นทุนแพง หมูเถื่อนเลยเข้ามา เกษตรกรไทยไม่มีทางสู้ และมันไม่ใช่ความผิดของเกษตรกร วัตถุดิบค่าอาหารสัตว์ก็ไม่ลดลง กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ไม่มีการช่วยเหลือเกษตรกรไทย คุยจนเข่าด้านแล้ว และตนก็มองด้วยว่าการที่ของเถื่อนต่างๆ เข้ามาเมืองไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ ทำอะไรอยู่
นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันนี้จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูจากเดิมเรามี 2.8 แสนคน เหลือเพียงประมาณ 40,000 คนที่ยังทำอยู่ ดังนั้น หมูเถื่อนต้องหมด จะมาขาย 50-60 บาทแบบนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเกษตรกรไทยเจ๊ง ขบวนการลักลอบเนื้อหมูนี้ก็เข้ามาไม่เลิก งวดหน้าต้องจบ ถ้าไม่จบคงจะได้เจอกัน ทั้งนี้ตนและเกษตรกรไทยขอบคุณอธิบดีดีเอสไอ และคณะพนักงานสอบสวน บริษัทสายเรือ ที่ให้ความร่วมมือ ขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และพรรคการเมือง ตนเข้าใจทุกการเมืองมีดีมีชั่ว แต่สังคมอยู่ได้ด้วยความดี อย่างไรก็ตาม การฝังกลบทำลาย ตนเชื่อฝีมือการทำงานของดีเอสไอ แต่อยากให้ไม่หยุดอยู่ที่ 161 ตู้ ขอให้ตรวจสอบให้ครบ และอย่าให้หมูเถื่อนเกลื่อนเมืองอีกหากจบคดีนี้แล้ว
...
ต่อมา พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดห้องต้อนรับ นายอัจฉริยะ และนายวิวัฒน์ พร้อมด้วยตัวแทนพันธมิตรเกษตรกรไทย ผู้เลี้ยงสุกร เข้าพูดคุยหารือพร้อมกล่าวว่า ขอบคุณนายอัจฉริยะ ผู้แทนพรรคการเมือง และเกษตรกรสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ที่นำข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อคดี ซึ่งเป็นเรื่องการลักลอบนำเข้าซากสุกรแช่แข็งเข้าราชอาณาจักรผิดกฎหมาย ขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพราะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทย คาดว่าไม่ถึงเดือนจะมีความคืบหน้าตามลำดับ และจะมีการขยายผลดำเนินการติดตามตัวผู้กระทำความผิดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมารับโทษต่อไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ.