ตอนที่
เยาวมาลย์ (แพท-ณปภา ตันตระกูล) หญิงสาวที่เพิ่งลาออกจากงานออฟฟิศประจำหลังจากเริ่มทำไปได้ไม่กี่เดือนอยู่ในสภาวะว่างงานสมบูรณ์ เดือดร้อน มิ่งขวัญ (แก้ว-อภิรดี ภวภูตานนท์) ผู้เป็นป้าแท้ๆ ที่เลี้ยงเยาวมาลย์มาตั้งแต่พ่อแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเป็นกังวลถึงอนาคตของหลาน จนต้องชวนไปทำบุญเพื่อเสริมสิริมงคลระหว่างที่ยังรอหางานใหม่ซึ่งยังไม่มีวี่แววจะได้ ในวันนั้นระหว่างที่หญิงสาวขอตัวออกมารอนอกอุโบสถหลังจากไหว้พระ เธอได้พบกับหญิงวัยกลางคนในชุดขาวซึ่งพูดจาประหลาดจนน่าระแวง หญิงชุดขาวพยายามมอบเหรียญทองแดงเล็กๆ ให้ แม้ว่าเธอจะปฏิเสธเท่าไรก็ตาม รู้ตัวอีกทีเยาวมาลย์ก็พบว่าตัวเองเป็นลมไประหว่างออกมาด้านนอก และคิดว่าทั้งหมดเป็นแค่ความฝันเท่านั้น จนกลับมาถึงบ้าน เธอพบว่าเหรียญทองแดงนั้นอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเธอ แท้จริง และเหรียญทองแดงนั้นเป็นสื่อที่ทำให้เธอพบกับยักษ์หนุ่มผู้มีผิวกายสีแดงเหมือนทับทิมเป็นครั้งแรก ด้วยความตกใจกลัว เยาวมาลย์พยายามจะหนีเอาตัวรอด แต่ก็หนีไม่พ้น จึงต้องยอมจำนนนั่งนิ่งไม่มีทางเลือก
ยักษ์กายแดงแนะนำตัวเป็นกลอนว่าชื่อ สุรมารา (เพ็ชร-ฐกฤต ตวันพงค์) เป็นยักษ์ที่ตกจากสวรรค์เพราะทะเลาะกับนาคเรื่องชิงดวงแก้วสารพัดนึก สุรมารายืนยันว่าจะต้องอาศัยอยู่ที่บ้านของเยาวมาลย์จนครบกำหนดสิบเดือนตามโทษที่ได้รับ เพราะเธอเคยติดหนี้เขาไว้ในชาติก่อน ตามที่หญิงวัยกลางคนในชุดขาวซึ่งที่จริงแล้วเป็นนางฟ้าชื่อ นิลุบลอัจฉรา (เบบี้มาย-ปรัชญานันท์ สุวรรณมณี) บอกเอาไว้ แม้เยาวมาลย์จะไม่เชื่อแต่ก็ต้องทำทีเป็นยินยอมไปก่อน เพราะกลัวสุรมาราในร่างยักษ์ แต่ก็แอบวางแผนที่จะกำจัดเขาออกไปจากชีวิตให้ได้
วันรุ่งขึ้น เยาวมาลย์จึงแกล้งบอกสุรมาราที่จำแลงกายเป็นชายหนุ่มเพื่อให้ดูไม่ผิดปกติจากมนุษย์ทั่วไป ว่าจะพาไปยังสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งซึ่งก็คือวัดที่พบกับนิลุบลอัจฉรา เป้าหมายแท้จริงของเธอคือนำเขาไปทิ้งไว้ที่นั่นแล้วฉวยโอกาสหนีกลับบ้านมา แต่ระหว่างทางที่แวะห้างสรรพสินค้าก็พบกับนิลุบลอัจฉราที่มาปรากฏกายให้เห็นในร่างของสาวสวย มายื่นข้อเสนอให้เธอช่วยดูแลสุรมาราแลกกับเลขท้ายสามตัว ตอนแรกเยาวมาลย์ลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไปรับชายหนุ่มกลับมาที่บ้านอีกครั้งเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างส่วนหนึ่ง และลึกๆ ก็กลัวว่าสุรมาราจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย
ผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลในงวดถัดไปตรงกับเลขศักดิ์สิทธิ์ที่นิลุบลอัจฉราให้ไว้ไม่มีผิด ทำให้เยาวมาลย์เริ่มจะเห็นลู่ทางว่าการให้สุรมาราอาศัยร่วมอยู่ด้วยก็มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เธอกำลังว่างงาน และใกล้ถังแตกเธอจึงคิดคำนวณอย่างดีว่าจะต้องซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลกี่ใบ และวางแผนว่าจะเอาสุรมาราไปปล่อยอีกครั้งใกล้วันสลากออกงวดหน้า เพื่อให้นิลุบลอัจฉราให้เลขท้ายสามตัวมาเป็นค่าเลี้ยงดู ซึ่งระหว่างนั้นเธอก็ทำดีกับเขาทุกอย่าง ทั้งสอนการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ซื้อเสื้อผ้าใหม่ยกห้องนอนให้ เป็นต้น
แม้สุรมาราจะเรียนรู้อะไรได้รวดเร็วจากการดูข่าวทางโทรทัศน์แต่ก็ยังปรับตัวไม่ได้แนบเนียนนัก เพราะยังติดนิสัยที่พูดเป็นคำกลอนอยู่ เขามักจะเหน็บแนมเยาวมาลย์เสมอเมื่อเริ่มรู้มากขึ้นว่าเธอเองอยู่บ้านเฉยๆ แบบคนตกงาน โดยไม่รู้ว่าเธอมีงานอดิเรกคือการวาดภาพสีน้ำ และหวังว่าจะทำงานเป็นศิลปินอิสระมากกว่างานออฟฟิศประจำที่เคยลาออก จนกระทั่งวันที่ อาชาชาย (เฟริสท์-ภาราดา ชัชวาลโชติกุล) หนุ่มหน้าหวานเพื่อนสนิทของหญิงสาวมาเยี่ยมที่บ้านเพื่อรับรูปวาดสีน้ำที่สั่งทำเอาไว้ เพื่อไปร่วมงานประมูลที่งานการกุศลของบริษัท ทำให้ความแตกว่าเธอไม่ได้อยู่บ้านที่เป็นมรดกของพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วตามลำพังเหมือนก่อนหน้านี้
แต่เธอก็แก้ไขเอาตัวรอดไปได้เมื่อถูกอาชาชายซักถามถึงประวัติที่มาของสุรมารา โดยให้เหตุผลไปว่าเขาคือคนที่รู้จักของเธอฝากให้มาอยู่ด้วยระหว่างรอเดบิวต์กับค่ายเพลงลูกทุ่ง และที่พูดติดเป็นกลอนเพราะว่าที่บ้านของสุรมาราเป็นลิเกมาก่อน ข้อแก้ตัวนั้นทำให้อาชาชายนึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้จับผิดต่อ เพราะติดธุระต้องไปรับเพื่อนของเจ้านายต่อจึงเพียงรับของที่จะประมูลกลับไป หลังจากนั้นอีกหลายวันจึงโทรศัพท์มาบอกเยาวมาลย์ ว่าภาพวาดของเธอที่เขานำไปเข้าร่วมประมูลการกุศลนั้นได้ราคาสูง และเพื่อนของเจ้านายของเขาก็เป็นคนประมูลไป และสนใจที่จะว่าจ้างเธอให้ช่วยวาดภาพเหมือนของตนเองให้
เยาวมาลย์ดีใจบอกรับงานในทันทีโดยไม่รู้เลยว่าเจ้านายของอาชาชายคือ อาศิรวิษ (ปีเตอร์ ไนท์) ซึ่งเป็นนักธุรกิจหนุ่มเจ้าของบริษัทในเครือพิชิตทรัพย์กรุ๊ปอันยิ่งใหญ่ และคนที่เขาแนะนำว่าเป็นเพื่อนซึ่งมอบหมายให้อาชาชายช่วยดูแลเพราะถูกชะตานั้นคือ นาถภุชงค์ (เหม-ภูมิภาฑิต นิตยารส) ซึ่งเป็นนาคที่มีเรื่องวิวาทกับสุรมารา แต่ได้หนีขึ้นมาโลกมนุษย์ระหว่างต้องโทษที่เมืองบาดาล โดยมีจุดประสงค์คือตามหาดวงแก้วสารพัดนึกที่ผู้ครอบครองจะขอพรได้หนึ่งข้อตามใจปรารถนา ซึ่งได้หายไปจากสวรรค์นับแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น นาคหนุ่มตั้งใจจะใช้ข้ออ้างเรื่องภาพสีน้ำเพื่อที่จะได้มาพบสุรมาราเพราะคิดว่าดวงแก้วอยู่กับเขา
ระหว่างที่ยังไม่ถึงเวลานัดเจอกับนาถภุชงค์ เยาวมาลย์ก็ขอให้สุรมารามาเป็นแบบวาดรูปให้พลาง ๆ ก่อน ช่วงเวลาที่ได้อาศัยร่วมชายคากันนั้น ทำให้สุรมาราเกือบจะเข้าใจว่าเยาวมาลย์เป็นคนที่ดีกว่าที่คาดเอาไว้แล้ว หากไม่เป็นเพราะว่าพอใกล้ครบกำหนดสิบห้าวันที่สลากกินแบ่งรัฐบาลจะออก เธอจึงวางแผนจะเอาเขาไปปล่อยทิ้งไว้ที่ปั้มน้ำมันเพื่อต่อรองกับนิลุบลอัจฉรา แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นใจเหมือนถูกแกล้ง ที่รถของหญิงสาวเสียกลางทาง ครั้นลงจากรถมาดูอาการก็ถูกฝนห่าใหญ่ตกใส่ก่อนจะหยุดไปดื้อ ๆ สุรมาราลงมาอบรมเธอยกใหญ่ เพราะรู้อยู่ก่อนแล้วจากนิลุบลอัจฉราว่าเธอเห็นแก่อามิสสินจ้างเลขท้ายสามตัวนั้น กว่าจะได้กลับบ้านก็เมื่อเธอยอมรับผิดตามตรงทำให้รถที่เสียอยู่ติดขึ้นมาเอง ราวกับถูกสวรรค์กลั่นแกล้งไม่ให้สามารถทิ้งสุรมาราไปได้
เยาวมาลย์เป็นไข้หนักหลังจากตากฝนจนต้องขอเลื่อนนัดที่ใกล้จะถึงของนาถภุชงค์ออกไปก่อน ช่วงเวลาว่างที่ถูกเลื่อนออกไปนั้นหมดไปไม่ต่างกับก่อนหน้านี้ แต่ว่าเยาวมาลย์กลับรู้สึกว่าสุรมาราเริ่มจะใจดีกับเธอขึ้นมานิดหน่อย แม้ว่าการใจดีครั้งแรกจะทำไปเพราะเห็นว่าเธอป่วยจึงช่วยดูแลให้แบบผิด ๆ ถูก ๆ จนเกือบจะทำไฟไหม้บ้านไปหนึ่งครั้งก็ตาม แต่เธอก็เริ่มรู้สึกว่านับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นบ้าง แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนต้องจำใจยอมรับชายหนุ่มให้มาอาศัยร่วมบ้านแบบไม่ได้ค่าตอบแทนอะไรเลยก็ตาม
เมื่อถึงวันที่นัดหมายใหม่ นาถภุชงค์ไม่รอช้าที่จะแสดงตัวให้สุรมารารู้ว่าตนเองก็อยู่ที่โลกมนุษย์ด้วยเช่นกัน ทำให้สุรมาราเป็นกังวลมากขึ้น เพราะรู้นิสัยชอบเอาชนะของอีกฝ่ายที่จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างเยาวมาลย์ เพราะระหว่างที่อาศัยร่วมบ้านมาระยะหนึ่งด้วยกันสุรมาราก็ยอมรับว่าหญิงสาวไม่ใช่มนุษย์ที่หลงในรูป หรือเห็นแก่เงินอย่างที่เขาเคยตั้งแง่เอาไว้ แต่เยาวมาลย์เองก็ยังไม่เชื่อสิ่งที่ถูกเตือนเสียทีเดียวว่า นาถภุชงค์ไม่ดีจนทำให้ยักษ์หนุ่มไม่พอใจจนแสดงอาการออกมามากขึ้น ระแวงแม้กระทั่งอาชาชายที่เป็นผู้แนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน นั่นทำให้เธอยังคงเฉยซ้ำจะติดรำคาญบ้างเมื่อสุรมาราตักเตือ นหรือเริ่มจะแสดงอาการที่หญิงสาวรู้สึกว่าผิดสังเกตออกมาอย่างเช่นการตัดพ้อ หรือเป็นห่วงเกินเหตุ เพราะในสายตาของหญิงสาวแล้วเธอมองว่า สุรมารากับนาถภุชงค์ไม่แตกต่างกันนัก และออกปากตามตรงว่าขออยู่ตรงกลางโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบาดหมางของทั้งคู่ เยาวมาลย์ปฏิเสธข้อเสนอของนาถภุชงค์ที่ยินดีจะช่วยเรื่องการเงิน แลกกับการให้เธอช่วยหาดวงแก้วที่หายไป ซึ่งเข้าใจว่าอยู่กับสุรมารา เรื่องนี้ทำให้เยาวมาลย์กลับมาสู่ภาวะว่างงานอีกรอบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตั้งใจว่าจะเริ่มจากงานของนาถภุชงค์เป็นงานแรก
ระหว่างนั้นอาชาชายต้องยกเลิกการไปงานเลี้ยงรุ่นที่จะไปด้วยกับเยาวมาลย์กะทันหัน เพราะมารดาประสบอุบัติเหตุ ทำให้เยาวมาลย์ตัดสินใจจะพาสุรมาราไปด้วยแทน เพื่อให้คุ้มกับค่ากับค่าร้านอาหารที่ออกเงินจองไปก่อนหน้านี้ ขากลับมาถึงบ้านเธอจึงพบว่าที่สวนของบ้านถูกรื้อค้นกระจุยกระจายด้วยฝีมือของนาถภุชงค์ เพื่อหาดวงแก้วสารพัดนึก ซึ่งความจริงแล้วสุรมาราแอบซ่อนเอาไว้ใต้ต้นปาริชาตที่บ้านพร้อมอธิษฐานขอฝากเอาไว้กับพระแม่ธรณี เขาบอกเหตุผลกับเธอเพียงว่าต้องการที่ซ่อนใหม่ และความจริงแล้วดวงแก้วที่อยู่กับยักษ์หนุ่มมีเพียงแค่ครึ่งเดียว ซึ่งสุรมาราเพิ่งจะได้รับมาจากนิลุบลอัจฉราที่ซ่อนเอาไว้ให้โดยไม่บอกว่าอีกครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ที่ไหน
จากเหตุการณ์นั้นทำให้เยาวมาลย์ไม่พอใจนาถภุชงค์เป็นอย่างมาก จนอดไม่ไหวที่จะเลิกอยู่นิ่งถึงขั้นสืบเบอร์โทรศัพท์จากอาชาชายเพื่อโทรไปต่อว่า แต่นาถภุชงค์กลับไม่สนใจนักแถมยังยื่นข้อเสนอใหม่ให้ เพราะดวงแก้วสารพัดนึกนั้นมีคุณสมบัติพิเศษที่จะให้พรหนึ่งประการแก่ผู้ที่ขอ และเขาจะให้เธอขอพรข้อหนึ่งหากร่วมมือช่วยหา แต่เยาวมาลย์กลับปฏิเสธไป ทว่านาถภุชงค์ก็ยังไม่เปลี่ยนความตั้งใจเพราะเชื่อว่ายังไงก็ตามตัวเองต้องได้ดวงแก้วมาครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ตาม นาถภุชงค์จึงตัดสินใจรุกหนักขึ้น โดยกลับมาที่บ้านของเยาวมาลย์อีกครั้ง แต่บังเอิญวันนั้นเยาวมาลย์มีนัดสัมภาษณ์งานวาดภาพปกให้กับสำนักพิมพ์ จึงเหลือเพียงสุรมาราที่อยู่เผชิญหน้ากับนาถภุชงค์ตามลำพัง
และเพราะครั้งก่อนที่นาคหนุ่มมาทำให้สวน และบริเวณบ้านเสียหายหนักสุรมาราจึงจำเป็นต้องหลอกให้อีกฝ่ายเชื่อว่าเขาซ่อนดวงแก้วเอาไว้ที่อื่น ทั้งที่ความจริงนั้นเขาแอบซ่อนเอาไว้ในรถของเยาวมาลย์ก่อนหน้านั้น เมื่อนาถภุชงค์รู้ตัวว่าโดนหลอกให้ไปที่สวนสาธารณะ ก็โกรธหนักเข้าจู่โจมสุรมาราพร้อมนิลุบลอัจฉราที่แอบสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ แล้วใช้นาคบาศรัดไว้ ก่อนจะติดต่อกับเยาวมาลย์ที่เพิ่งจะรู้ว่าของสำคัญนั้นอยู่กับตัวเองเพราะกลับมาที่บ้านแล้วไม่พบใคร
หญิงสาวจำต้องไปตามนัดโดยถือหม้อแสตนเลสซึ่งบรรจุดวงแก้วครึ่งหนึ่งไปด้วย เพราะสามารถกันแสงแวววับที่เล็ดลอดออกมาได้ เธอเดินหาสถานที่ในสวนสาธารณะเพื่อดูว่าจุดไหนที่นิลุบลอัจฉราใช้มนตร์อำพรางเอาไว้ นาถภุชงค์ถูกสุรมาราขัดขืน และต่อสู้กลับ จึงเผลอกลับร่างจริงเยาวมาลย์มาเห็นนาถภุชงค์ในร่างนาคก็ตกใจจนเป็นลมสลบไป ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าการต่อสู้จบลงแล้ว แม้ว่านาคหนุ่มจะฉวยโอกาสช่วงชุลมุนกลืนดวงแก้วลงไป แต่ดวงแก้วที่ไม่สมบูรณ์นั้นก็ระคายจนต้องคายออกมาก่อนจะกลับคืนเป็นร่างจำแลงมนุษย์
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้นาถภุชงค์รับรู้ความจริงว่าดวงแก้วอีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่ไหน เพราะตอนที่คายพิษนาคออกมานั้นมีแต่เยาวมาลย์ที่ไม่ได้รับพิษบาดเจ็บเลย นาคหนุ่มเลือกที่จะเก็บความลับนั้นไว้เพียงไม่นาน ก่อนจะเป็นฝ่ายบอกใบ้กับหญิงสาวด้วยตัวเอง ในวันที่แม่ของอาชาชายเสียชีวิตที่โรงพยาบาลว่าตัวของเธอเองคือดวงแก้วอีกครึ่งหนึ่ง แต่เยาวมาลย์ไม่เชื่อ และคิดว่าถูกนาถภุชงค์หลอกตามนิสัยของเขา เธอเลือกกลับไปถามสุรมาราแทนคำตอบที่ได้ทำให้เยาวมาลย์ผิดคาด เพราะยักษ์หนุ่มยอมรับว่านั่นเป็นเรื่องจริงที่เขาเพิ่งจะรู้ เมื่อตอนที่ได้รับดวงแก้วครึ่งหนึ่งมาจากนิลุบลอัจฉรา และการจะรวมดวงแก้วกลับเข้ามาให้เต็มดวงนั้นต้องรอจนกระทั่งดวงจิตของเยาวมาลย์ดับไปตามกำหนด ซึ่งหมายความว่าเธอจะตายในระยะเวลาสิบเดือนนับตั้งแต่วันที่เจอสุรมาราครั้งแรก เพราะหน้าที่ที่แท้จริงของเขาคือการปกป้องดวงแก้วก่อนจะนำกลับคืนไปยังสวรรค์เพื่อเป็นการไถ่โทษ และถึงแม้สุรมาราจะพยายามปลอบพร้อมชี้ให้เห็นว่าการจุติในภพภูมิใหม่เป็นเรื่องธรรมด าแต่เยาวมาลย์ก็ยังรับไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าเธอกำลังจะได้งานทำที่ใหม่ และยังมีความสุขกับการมีชีวิตมากกว่าจะฝากความเชื่อเอาไว้กับภพหน้าที่ยังไม่รู้อะไรแน่ชัด ที่สำคัญเธอยืนกรานว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่สนใจคำพูดของสุรมาราว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่ และย้ำกับเขาให้แน่ใจว่าหากจะอยู่ร่วมบ้านกันต่อไปก็ให้เลิกพูดเรื่องนั้นอีก เพราะเธอจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างคุ้มค่าที่สุดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เยาวมาลย์คิดอะไรได้มากขึ้น เริ่มรู้สึกที่จะเปิดให้กับสุรมารา และยอมรับความรู้สึกของตัวเองที่มีกับอีกฝ่ายแม้จะไม่เอ่ยปากออกไปก็ตาม หลังจากงานศพของแม่ของอาชาชายเสร็จสิ้นลง เยาวมาลย์บังเอิญได้ยินความลับบางอย่างของครอบครัวที่เลี้ยงตนเองมา ทั้งที่เพียงตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนเฉย ๆ ความจริงที่น่าสงสัยเกี่ยวกับ นงพะงา (มายด์-วรัทยา ว่องชยาภรณ์) ลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นลูกสาวของมิ่งขวัญถึงสาเหตุของความร่ำรวยที่ผิดปกติ ซึ่งเธอเคยสงสัยตอนที่ได้ยินข่าวจากอาชาชายว่าหล่อนกำลังคบหากับอาศิรวิษแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ โดยหลอกชายหนุ่มว่าตนเองเป็นลูกเศรษฐีที่กำพร้า รวมทั้งความจริงที่ว่าลุงกับป้าของเยาวมาลย์ใช้ชีวิตสมถะตามปกติเป็นฉากหน้าเท่านั้น เพราะแท้ที่จริงทั้งคู่รวมมือกันโยกย้ายมรดกของเยาวมาลย์มาใช้ในครอบครัว รวมทั้งเปลี่ยนชื่อมันให้เป็นของลูกสาวตัวเองแทน
ความจริงข้อนั้นทำให้เยาวมาลย์เครียดหนักเพราะผิดหวังมากกับคนที่เปรียบเป็นเสมือนครอบครัวแท้ ๆ ยิ่งเมื่อเธอบอกกลับผู้เป็นป้าว่ารับรู้ความจริงแล้ว ก็กลับถูกลำเลิกบุญคุณขึ้นมาจนทำให้เธอเจ็บจนซึมเศร้าไป ร้อนจนสุรามาราต้องของให้อาชาชายมาช่วยให้คำปรึกษาว่าควรจะหาทนายมาฟ้องเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งตอนแรกเยาวมาลย์ยังลังเลอยู่ แต่พอคิดทบทวนดูแล้วเธอก็อยากจะทำทุกอย่างให้ถูกต้องแม้จะเหลือเวลาของตัวเองอยู่ไม่มากก็ตาม แน่นอนว่าการตัดสินใจแบบนี้จะต้องใช้เงินมากตามมาแต่เยาวมาลย์ก็ตัดใจลองสักตั้ง ยิ่งมาเห็นว่าสุรมาราอยากช่วยด้วยการออกไปทำงานพิเศษที่ป้าข้างบ้านแนะนำ แถมถูกกดค่าแรงด้วยเธอยิ่งรู้สึกตื้นตันจนบอกไม่ถูก ว่าในเวลาที่มีปัญหานั้นเธอมีทั้งเพื่อนที่ดี และเขาที่คอยอยู่เคียงข้าง ทั้งที่ความจริงแล้วสุรมาราไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นเลยก็ได้
เรื่องนี้ทำให้หญิงสาวแน่ใจจนยอมรับความรู้สึกของตัวเองว่าจริง ๆ ได้ผูกพันกับยักษ์หนุ่มแล้ว นอกจากนั้นเยาวมาลย์ยังตั้งใจว่าจะบอกอาศิรวิษเรื่องของนงพะงาที่โกหก ทั้งที่ตอนแรกเธอจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เพราะว่ารถยนต์ของเธอถูกก้อนหินขว้างจนกระจกแตกซึ่งคงจะไม่พ้นฝีมือของนงพะงา ทำให้เยาวมาลย์กล้าตัดสินใจจะบอกความจริงออกไป โดยเธอขอความช่วยเหลือจากนาถภุชงค์ซึ่งยินดีที่จะช่วยให้เข้าพบนักธุรกิจใหญ่ได้อย่างสะดวก ในตอนแรกอาศิรวิษไม่เชื่อแต่เยาวมาลย์ก็ทิ้งรูปถ่ายที่เป็นหลักฐานเอาไว้ พร้อมกับบอกเขาตามตรงว่าเธอไม่ได้อยากแก้เผ็ด แต่ว่ามันเป็นเรื่องของความถูกต้องที่อาศิรวิษควรจะได้รับรู้ ว่าหญิงสาวที่กำลังจะตั้งใจใช้ชีวิตร่วมกันนั้นเป็นคนแบบไหน และให้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายตัดสินใจเอง เหมือนกับสิ่งที่เธอตัดสินใจจะฟ้องร้องลุงกับป้าของตนเอง เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ทรัพย์สินคืนมามากเท่าไร เธอทำเพราะคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำ
เมื่ออาศิรวิษรู้ความจริงแล้วจึงขอตัดขาดจากนงพะงา ยกเลิกการแต่งงานที่เตรียมวางแผนล่วงหน้าออกไป เหตุผลสำคัญไม่ใช่เพราะหล่อนไม่รวยหรือมีฐานะทัดเทียมกับเขา แต่เป็นเพราะนงพะงาโกหกเรื่องครอบครัวตลอดระยะเวลาที่คบกันนั่นทำให้นงพะงาทั้งเสียใจจนดื่มเหล้าหนัก นงพะงารู้ว่าเยาวมาลย์เป็นสาเหตุจึงถือปืนเข้ามาเตรียมยิงเยาวมาลย์ถึงในบ้านโดยที่ยังไม่สร่างเมาดี เยาวมาลย์พยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายใจเย็นลงแต่กลับถูกว่าว่าทำให้ชีวิตของนงพะงาพังลง เธอจึงบอกกลับไปว่าเพราะนงพะงามาขู่เธอก่อนด้วยการใช้คนมาขว้างก้อนหินใส่รถยนต์ แต่นงพะงาบอกว่าไม่ได้เป็นคนทำ เหตุการณ์จึงกลับตาลปัตร เพราะเท่ากับว่าเยาวมาลย์ทำร้ายนงพะงาด้วยความเข้าใจผิดครั้งใหญ่
ไกปืนถูกลั่นออกมาติดกันในจังหวะที่สุรมาราเข้ามาขัดขวางพอดี แต่ก็ยังช้าเกินไปเพราะเยาวมาลย์ถูกยิงเข้าเสียก่อนหนึ่งนัด สุรมารารีบจะเข้าไปเพื่ออุ้มเยาวมาลย์ออกไปขอความช่วยเหลือแต่กลับถูกขัดขวางเอาไว้โดย นิลุบล อัจฉรา ที่กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง พร้อมบอกว่าโชคชะตาของเยาวมาลย์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะว่านาถภุชงค์เป็นส่วนหนึ่งที่ยื่นมือเข้ามายุ่งด้วย ทำให้กำหนดถึงฆาตของเยาวมาลย์เปลี่ยนจากเดิมในอีกสิบเดือนมาเป็นวันนี้ และสุรมาราไม่มีสิทธิ์ที่จะช่วย สิ่งที่ต้องทำคือรอให้เยาวมาลย์หมดลมหายใจไปเพื่อเก็บดวงแก้วอีกครึ่งหนึ่ง หากแต่สุรมารากลับทนมองเห็นเยาวมาลย์ตายลงไปต่อหน้าไม่ได้จึงฝืนทำสิ่งที่เป็นข้อห้าม คือการช่วยชีวิตมนุษย์ที่ถึงฆาตขึ้นมาก่อนจะสารภาพความรู้สึกว่ารักของตัวเองออกไป
เยาวมาลย์รู้สึกตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาลและพบกับอาชาชายเป็นคนแรก เขาเล่าให้เธอฟังว่านงพะงาเป็นคนพาเยาวมาลย์มาส่งโรงพยาบาล เพราะตกใจตอนที่เห็นว่าเป็นฝ่ายยิงเธอด้วยตัวเอง ส่วนกระจกรถยนต์ที่แตกนั้นเป็นฝีมือของลุงที่ยังผูกใจเจ็บไม่ใช่นงพะงา และแม้มิ่งขวัญจะมาขอโทษแทนสามี และเรื่องที่ผ่านมาแล้วแต่เยาวมาลย์ก็ยังยืนยันคำเดิมที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องให้แก่ตัวเอง นอกเสียจากมิ่งขวัญจะยอมรับผิด และคืนทรัพย์สินส่วนที่เหลือมาให้เท่านั้นเป็นการไถ่โทษ
เยาวมาลย์ไม่เห็นสุรมาราอีกหลังจากนั้น มีเพียงนาถภุชงค์ที่รออยู่เพื่อเตรียมบอกลาขออโหสิกรรม เพราะหมดหวังที่จะได้ดวงแก้วกลับมาอีก เนื่องจากตอนที่หญิงสาวกำลังอยู่ระหว่างความเป็นความตายนั้น สุรมาราได้ทำผิดกฎโดยใช้ดวงแก้วอีกครึ่งหนึ่งเพื่อรวมกับดวงจิตของหญิงสาว และขอพรหนึ่งข้อคือให้เธอรอดชีวิตแทนที่จะเก็บดวงแก้วนั้นกลับไปสวรรค์ ทำให้ดวงแก้วยังอยู่ในร่างของเธอเต็มดวง และเขาคงไม่มีเวลารอให้เธอถึงฆาตตามอายุขัยอีก เพราะความจริงแล้วพรหนึ่งประการที่นาถภุชงค์ต้องการขอคือ การได้หลุดพ้นจากการกลับมาจุติใหม่ในภพภูมิของมนุษย์ ด้วยอำนาจของดวงแก้วทั้งที่ความจริงเป็นการฝืนกฎก็ตาม สุดท้ายแล้วนาถภุชงค์ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงนั้น และกลับเมืองบาดาลไป
เยาวมาลย์ใช้ชีวิตต่อไปโดยระลึกถึงสุรมาราเสมอจนวันเวลาผ่านไปจนใกล้จะครบสิบเดือนตามกำหนด ในตอนนี้เธอได้ทรัพย์สินของตัวเองกลับมาเท่าที่ยังพอมีจากป้า และลุงโดยเลือกจะไม่ฟ้องร้องอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนแรก ด้วยสายสัมพันธ์ที่ไม่อาจตัดได้ขาด รวมทั้งเห็นแก่นงพะงาที่เปลี่ยนใจช่วยพาเธอมาโรงพยาบาลในวันนั้น แม้ว่าจะต้องรับโทษตามกฎหมายในข้อหาพยายามฆ่าแต่เยาวมาลย์ก็ยังไปเยี่ยมเยียนอีกฝ่ายบ้าง ระหว่างที่ยังไม่ได้กลับมารับงานในช่วงพักฟื้น สำหรับเธอนงพะงาเป็นคนที่เพิ่งจะได้ทำความรู้จักจริงจัง ต่างกับลุงและป้าที่รู้จักมาตลอดแต่กลับไม่รู้อะไรเลย
เยาวมาลย์ใช้เงินที่ได้มาเปลี่ยนที่บ้านใหม่ให้เป็นที่เหมาะกับการรับสอนศิลปะให้กับเด็ก ๆ เป็นรายได้เสริม เพิ่มจากงานรับวาดภาพปกนิยายจากสำนักพิมพ์ พยายามทำตัวให้ยุ่ง และมีชีวิตต่อไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขอย่างที่สุรมาราได้ขอพรเอาไว้ให้ แม้ว่าภายในใจจะเป็นทุกข์เพราะเธอไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถให้ใครเข้ามาในชีวิตได้อีก แม้แต่อาชาชายที่เป็นเพื่อนสนิทซึ่งคอยช่วยเหลือมาตลอด เยาวมาลย์ได้แต่หวังว่าจะได้พบสุรมาราอีกแม้ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้อีกก็ตาม
และในวันที่ครบกำหนดสิบเดือนสุรมาราก็มาปรากฏตัวที่หน้าบ้านอีกครั้ง เยาวมาลย์คิดว่าฝันไป เขาบอกว่าคราวนี้ถูกส่งมาเพราะต้องทัณฑ์ เนื่องจากทำภารกิจผิดพลาดจนเอาดวงแก้วกลับไปสวรรค์ไม่ได้ จึงต้องมาคอยเฝ้าที่โลกมนุษย์เป็นการถาวรจนกว่าที่เธอจะถึงคราวเคราะห์ตามอายุขัยจริง ๆ ด้วยความช่วยเหลือจากนิลุบลอัจฉรา และครั้งนี้สุรมาราจึงขออนุญาตอย่างเป็นทางการที่จะอยู่ร่วมกับหญิงสาวในฐานะของผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่ยักษ์ที่เธอต้อนรับอย่างไม่เต็มใจอย่างครั้งแรก ซึ่งครั้งนี้เยาวมาลย์เองก็เป็นฝ่ายต้อนรับการกลับมาของสุรมาราอย่างเต็มใจที่สุด
ด้านพี่สาวของอาชาชายที่เคยยุให้น้องชายจีบเพื่อนสนิทอย่างเยาวมาลย์ ก็เริ่มตัดใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวมากับชายหนุ่มอีกคน และดูรักกันดีในงานแต่งงานของตัวเองหลังจากผ่านงานเศร้าโศกก่อนหน้านี้ไป ทิพกันยาหนึ่งในพี่สาวของอาชาชายตกลงใจแต่งงานกับอาศิรวิษแบบสายฟ้าแลบ ตามคำแนะนำของนาถภุชงค์ที่ให้ไว้ก่อนจะกลับเมืองบาดาลไป เก้าเดือนหลังจากนั้น หลานคนแรกของบ้านอาชาชายก็ลืมตาดูโลกโดยที่เพื่อนรักอย่างเยาวมาลย์ก็ไม่พลาดที่จะไปเยี่ยมหลาน เด็กชายมีผิวขาวจ้ำม่ำ กับดวงตายาวรีที่คุ้นเคยนั้นทำให้เยาวมาลย์ และสุรมาราหันมามองหน้ากันเพราะนึกถึงนาถภุชงค์ รวมทั้งปานที่หัวไหล่คล้ายเกล็ดงูขนาดเท่าเหรียญสิบนั้นทำให้พี่สาวของอาชาชายตั้งชื่อลูกว่า นาคินทร์
เด็กชายนาคินทร์ส่งเสียงร้องทักทายทุกคนที่มาเยี่ยมก่อนจะจ้องตาสุรมาราเนิ่นนานแล้วยิ้มให้ ราวกับบอกว่าจากนี้ไปชีวิตของเขาจะพบแต่สิ่งที่ดีในโลกแห่งใหม่ และการพบกันครั้งนี้จะเป็นการพบกันอย่างเป็นมิตรที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา และอาศิรวิษก็เหมือนจะยึดลูกคนแรกเป็นแรงใจในการเริ่มชีวิตใหม่ของตัวเองหลังจากแยกทางกับนงพะงา แต่เขาก็ยังให้สัญญาว่ายินดีจะรับเธอเข้าทำงานหากพ้นโทษแล้ว ชีวิตจากนั้นของเยาวมาลย์เป็นไปอย่างปกติสุข เรียบง่ายจนไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้จะมีเรื่องอะไรผ่านเข้ามาบ้าง เธอไม่ได้ถามสุรมาราอีกว่าอายุขัยของตัวเองจะยืนยาวเท่าใด เพราะเธอรู้ว่าตราบใดที่ดวงแก้วนั้นยังอยู่ในตัว สุรมาราก็จะอยู่ข้าง ๆ เธอเสมอ และตอนนี้มันอยู่กับเธอทั้งดวง ทั้งนี้เพราะพรหนึ่งประการที่สุรมาราขอนั้นจะเป็นจริงไม่ได้เลยหากว่าเขาไม่อยู่ที่นี่ด้วย พรที่ว่านั้นคือ ขอให้เธอมีชีวิตต่อไป อย่างมีความสุข ติดตามชมละคร แก้วกุมภัณฑ์ ได้ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 19.05 น. และวันศุกร์ เวลา 18.45 น. เริ่มตอนแรกวันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561
รายชื่อนักแสดงละครเรื่อง "แก้วกุมภัณฑ์"
ฐกฤต ตวันพงค์ รับบท สุรมารา
ณปภา ตันตระกูล รับบท เยาวมาลย์
ปรัชญานันท์ สุวรรณมณี รับบท นิลุบลอัจฉรา
ภูมิภาฑิต นิตยารส รับบท นาถภุชงค์
ภาราดา ชัชวาลโชติกุล รับบท อาชาชาย
วรัทยา ว่องชยาภรณ์ รับบท นงพะงา
อภิรดี ภวภูตานนท์ รับบท มิ่งขวัญ
ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว รับบท มนตรี
ปีเตอร์ ไนท์ รับบท อาศิรวิษ
ประภัทรพงศ์ ประสิทธิพงศ์ รับบท ทวิช
ปณิตา ธนโชติธรากร รับบท วาโย
พีระพล เสนาคุณ รับบท บริหาร
รัชนี ศิระเลิศ รับบท อนัญญา
อาภัสรา อินทร์ตลาดชุม รับบท คุณหญิง
อารยะ ศุภฤกษ์ รับบท คุณนาย
ณิชญาวีร์ พิศาลพงศ์ชนะ รับบท คุณเธอ
จิตติมา วิสุทธิปราณี รับบท ทิพกันยา