• โสดไม่เหงา ถ้าเป็นสายเปย์
  • ส่องอาชีพ "เพื่อนเที่ยว" ฟีลแฟน แต่ทำแทนไม่ได้
  • ต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน สาว "เพื่อนเที่ยว" เข้าใจคนมอง ทำอาชีพไม่มีเกียรติ 


ก้าวเข้า "กุมภาพันธ์" เดือนแห่งความรัก คนมีคู่ อาจชุ่มฉ่ำหัวใจ รอคนรักเอาดอกไม้  หรือของขวัญมาเซอร์ไพรส์ ในวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ ตอกย้ำความรักเบ่งบาน โลกเป็นสีชมพู แต่สำหรับคนโสด ถ้าไม่เหลือบตามองบน เหม็นความรัก ก็ต้องนัดเพื่อนสายโสดเหมือนกัน ไปสังสรรค์ให้โลกได้รู้ ไม่ต้องมีแฟน ก็อิ่มเอมไปด้วยความสุขได้ แต่ปีนี้ โควิด-19 ระบาด ปาร์ตี้ฉลองความโสด ในวันวาเลนไทน์ อาจจะต้องงดไปก่อน เพราะหากติดโควิด-19 แล้ว จะได้(สนุก) ไม่คุ้มเสีย

"โสด" แล้วเหงา อยากหาเพื่อนคุย

เคยถามเพื่อน ที่ห้อยสถานะโสดมากว่า 30 ปี ว่าทำไมถึงไม่มีแฟน มันค้อนขวับ ทำเสียงแข็งใส่ ไม่ได้อยากโสด แต่เพราะไม่มีใครมาจีบ และถ้าจะให้ไปจีบใครก่อน ก็ “ไม่กล้า” แถมชีวิตที่ผูกติดกับงาน ถ้าไม่ถูกตาต้องใจคนในสายงานเดียวกัน หรือใกล้เคียง จะเอาเวลาที่ไหน ไปหาเพื่อนใหม่ๆ ถ้าคุยกันภาษาเพื่อน ก็คือ จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟ๊นนนน!! (เสียงสูงก็มา)

...

บางคนนั่งปัดแอปฯ ยอดนิยมที่เป็นที่รู้จักและแพร่หลาย หาเพื่อนใหม่ๆ ทั้งเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว ที่หวังว่าสักวันจะสามารถสานสัมพันธ์ต่อ ได้เป็นคนรู้ใจในอนาคต แต่ถ้าอยากจะหาเพื่อน(หน้าใหม่) แก้เหงา เป็นครั้งคราว ไปกินข้าว ดูหนัง เดี๋ยวนี้เสิร์ชหา “เพื่อนเที่ยว” ได้ไม่ยาก เลือกหน้าตา ได้ตามใจต้องการ แค่ต้องมีงบในการเปย์

เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว แก้เหงา

น้องบี (นามสมมติ) อดีตหญิงสาว ที่เคยรับงาน "เพื่อนเที่ยว" เปิดใจเล่าถึงเส้นทางก้าวเข้าอาชีพนี้ ให้เราฟังว่า ตนเป็นเด็กต่างจังหวัด ฐานะครอบครัว ไม่ได้มีเงินมาก จึงต้องทำงานเสริม ด้วยการเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารตอนกลางคืน ได้ค่าแรงวันละ 100-200 บาท จังหวะนั้นมีคนมาชวนไปทำงานเป็นพีอาร์ บอกว่าหน้าตาน่ารัก งานหลัก คือ เอนเตอร์เทนลูกค้าในร้านเหล้า ค่าตอบแทนที่ได้มากกว่าทำให้ตัดสินใจไป ซึ่งนอกจากรายได้ที่มากขึ้น ยังได้รู้จักคนมากขึ้นด้วย

ระหว่างการทำงานเป็นพีอาร์ ทำให้เรารู้จักงาน "เพื่อนเที่ยว" จากกลุ่มเพื่อนที่เป็นพีอาร์ด้วยกันซึ่งทำมาก่อน โดยงานพีอาร์ จะทำตอนกลางคืน และถ้าใครว่างช่วงกลางวัน แล้วสนใจรับงานกินข้าว จะได้ค่าเสียเวลา 3 ชั่วโมง เรตค่าจ้าง ตั้งแต่ 1,000-2,000 บาท ลักษณะงานคือ ไปกินข้าว แต่มี "ลูกค้า" เป็นคนเลี้ยง เขาเหงา ก็เลยจ้างเราให้ไปนั่งกินข้าวด้วย

ซึ่ง "ลูกค้า" ที่ต้องการ "เพื่อนเที่ยว" สำหรับตนมองว่า เขาก็คือคนปกติทั่วไป ที่อาจจะเข้าสู่วัยทำงาน แต่ทำงานหนักจนไม่มีเวลาส่วนตัว มีโอกาสเจอเพื่อนน้อยลง สุดท้ายกลายเป็นคนไม่มีสังคม ไม่มีคนที่สามารถชวนกันไปเที่ยว แฮงเอาต์ได้ ถึงเวลาหนึ่ง อาจจะ “เหงา” ต้องการใครสักคน แต่เพราะไม่มีใคร จึงยอมจ่าย จ้างคนมากินข้าว มาเที่ยวเป็นเพื่อน แบบไม่ต้องกลัวโดนเท หรือโดนปฏิเสธ

ขณะที่การรับงานจะมีทั้งการผ่านโมเดลลิ่ง เมื่อก่อนจะมีโมเดลลิ่งไปหาเด็กตามร้าน แต่หลังๆ โมเดลลิ่งจะดีลกับร้านโดยตรง และแบบแนะนำกันปากต่อปาก

พีอาร์ / เพื่อนเที่ยว / งานเอนฯ เส้นบางๆ กั้นความต่าง

น้องบี อธิบายให้เราฟัง เกี่ยวกับความแตกต่างของ งานพีอาร์ เพื่อนเที่ยว และงานเอนเตอร์เทนว่า งานพีอาร์จะทำงานที่ร้าน มีเวลาเข้างาน-เลิกงานตายตัว เช่น เข้างาน 21.00-02.00 น. มีค่าตัวการันตีต่อคืน ประมาณ 1,000-2,000 บาท ขึ้นอยู่กับระดับความสวย และเงินจะออกทุกๆ 10-15 วัน โดยไม่จำเป็นต้องทำงานที่ร้านเดิมตลอด ขึ้นอยู่กับโมเดลลิ่งที่ดูแล

ส่วน "เพื่อนเที่ยว" และ "เด็กเอนเตอร์เทน" จะเป็นงานวันต่อวัน คนจ้างก็มีมากหน้าหลายตา หลากหลายอาชีพ ซึ่งใน 1 วัน จะรับกี่งานก็ได้ ขึ้นอยู่กับงาน และขึ้นอยู่กับเรา

หากถามว่า เราเลือกลูกค้าได้ไหม มีทั้ง 2 แบบ ในกรณีที่เราเลือกลูกค้า หมายความว่า เราเคยเจอกับลูกค้าคนนี้มาก่อน เช่น ลูกค้าคนนี้เคยจ้างเราไป กินข้าวด้วย แล้วถูกคอ ขอจ้างไปกินข้าวด้วยอีก ส่วนแบบที่เราไม่สามารถเลือกลูกค้าได้ หมายถึง เราต้องส่งรูปไปโมเดลลิ่ง เพื่อแคสต์งาน คือ ให้ลูกค้าเป็นคนเลือก ถ้าลูกค้าถูกใจ ก็จะมีคนโทรกลับมาคอนเฟิร์มงานกับเรา

ภาพประกอบบทความ
ภาพประกอบบทความ

อย่างงาน "เพื่อนกินข้าว" หลังจากติดต่องานเรียบร้อยแล้ว ลูกค้าจะแจ้งสถานที่ เวลานัดพบ ถึงเวลาที่ต้องไปเจอ หากเป็นการเจอครั้งแรก จะต้องชวนคุย ทำความรู้จักกันก่อน จากนั้นก็คอยถามว่า อยากทานอะไร แล้วสั่งให้ ซึ่งก็เป็นการบริการอย่างหนึ่ง

บางคนจ้างมาเป็นเพื่อนกินข้าว คือ กินข้าวอย่างเดียว ไม่คุยอะไรกันเลย ครบ 3 ชั่วโมง ก็แยกย้าย ยอมจ่าย เพราะไม่อยากนั่งกินข้าวคนเดียว ขณะที่บางคนคุยเก่ง ก็จะแชร์ประสบการณ์ต่างๆ ให้ฟัง คุยกันสนุกสนาน เป็นพี่เป็นน้อง เหมือนเราได้คนรู้จักเพิ่มอีกหนึ่งคน ขณะที่บางคน อยากได้ความรู้สึกเหมือนมากินข้าวกับแฟน เราก็จะคอยดูแล คอยเอาใจ แต่ไม่ถึงขั้นแตะเนื้อต้องตัว

บางคนคุยกันถูกคอ แต่กินข้าวครบ 3 ชั่วโมงแล้ว อยากจะจ้างเป็นเพื่อนเที่ยว ไปเดินเล่น ซื้อของกันต่อ ก็จะมีการตกลงราคากันก่อน

ขณะที่งานเอนฯ จะมีหลายแบบ ตั้งแต่แบบธรรมดา ชวนกันไปดูหนัง กินข้าว ไปจนถึงระดับ แตะเนื้อต้องตัว หรือลึกซึ้งมากกว่านั้น ที่เรียกว่า VIP ซึ่งก็แล้วแต่ตกลง

"ส่วนมากลูกค้าที่นัดกินข้าว หรือ งานเพื่อนเที่ยว จะไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นคนโสด คนไม่โสด วัยรุ่น วัยทำงาน หรือสูงอายุ มีทุกรูปแบบ ลูกค้าที่จะใช้บริการเพื่อนกินข้าว จะเป็นกลุ่มคนขี้เหงามากกว่า ไม่ค่อยพบปะเพื่อนฝูง

บางครั้งตัวเราเองก็เหงา พอมีลูกค้าชวนไปกินข้าว ก็ดีกับเราด้วย ไม่ใช่แค่ลูกค้าได้กำไร เราเองก็เหมือนได้กำไร หรือบางครั้งไปเจอลูกค้าที่ประสบความสำเร็จในชีวิตระดับหนึ่ง เขาจะแชร์ประสบการณ์ว่าทำ อย่างไรถึงมาอยู่จุดนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กัน"

กฎในการทำงานสายอาชีพนี้ ไม่มีอะไรตายตัว หลักๆ คือ การทำให้ลูกค้าประทับใจ มีความสุข ลูกค้าบางคนอยู่กับเราแล้วสบายใจ ก็จะระบายปัญหาชีวิตให้ฟัง เพราะเขาเล่าให้ใครฟังไม่ได้ ถ้าเราเป็นผู้ฟังที่ดี แชร์ความทุกข์กับเขาได้ เวลาเขามีปัญหาไม่สบายใจ ก็จะนึกถึงเรา แต่ถ้าลูกค้าไม่น่าประทับใจ เราก็ไม่ต้องฝืนใจทำให้จบงาน เพราะเราเองก็มีสิทธิเลี่ยง

เอนเตอร์เทนคนแปลกหน้า ไม่รับรองความปลอดภัย

สำหรับงานเอนเตอร์เทน หรือ งานเพื่อนเที่ยว ส่วนตัวมองว่าไม่ได้ปลอดภัย 100% ขึ้นอยู่กับตัวเราเองด้วยว่าจะสมัครใจไป หรือ ไม่ไป อย่างบางงานต้องไปคนเดียวตอนตี 3 ตี 4 ถ้าเป็นตน จะไม่รับงานแบบนี้เลย หากไม่มีเพื่อนผู้หญิงไปด้วย เนื่องจากเราไม่รู้ว่า คนที่จ้างเราเป็นใคร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร

เคยมีครั้งหนึ่ง บรีฟงานเป็นการเอนเตอร์เทน ปาร์ตี้ริมสระน้ำ แต่ไปถึงงาน กลับไม่มีคนเลย มีลูกค้าคนเดียว จ้างเด็กมาเอนเตอร์เทน 2-3 คน ก่อนพยายามเข้ามาลวนลาม ถอดเสื้อ เราก็รีบปลีกตัวออกมา บอกเขาไปตรงๆ ว่า "ทำแบบนี้ไม่ได้ หนูไม่ได้รับงานแบบนั้น" แต่หากลูกค้ายังไม่ยอมหยุด ก็จะทักไปหาคนจ่ายงาน ให้เขารับผิดชอบคุยกับลูกค้าให้ แต่หากลูกค้ายังไม่ยอมอีก เราก็เทงานเลย ค่าตัวก็ไม่เอา

"งานที่ต้องใส่บิกินี ค่าตัวจะสูงกว่าปกติ ถ้ามีเพื่อนไปหลายคน ก็อาจจะรับ แต่ต้องมีการตกลงค่าตัวกันก่อน แต่ถ้าลูกค้าขอมากกว่านั้นจะไม่ยอม และต้องดูความปลอดภัยเป็นหลัก เวลาเราไปงานแบบนี้ ไม่ได้ไปนั่งคุยอย่างเดียว ต้องมีดื่มกับลูกค้าด้วย ดังนั้นถ้าเห็นท่าไม่ดี ก็จะปลีกตัวออกมาเลย ถ้าเจอลูกค้าไม่ดีจริงๆ ก็จะถ่ายรูปแล้วโพสต์เตือนในกลุ่มรับงานว่า ลูกค้ามีพฤติกรรมแบบนี้ ใครจะรับงานต้องพิจารณาดีๆ ซึ่งคนที่รับงานแรง ให้แต๊ะอั๋งได้ ก็อาจจะรับงาน แต่ตนรับไม่ได้"

เรตราคา ตั้งแต่หลักพัน ยันหลักหมื่น

สมัยที่ตนยังรับงาน เฉพาะจ้างไปเป็นเพื่อนกินข้าวอย่างเดียว ประมาณ 3 ชั่วโมง ตกอยู่ที่ 2,000-3,000 บาท แต่จะมีเรตสำหรับการไปค้างคืนด้วย ซึ่งตนไม่เคยไป

สำหรับงาน เอนเตอร์เทรนด์ + VIP หรืองานที่ต้องลึกซึ้งกับลูกค้า เรตขั้นต่ำจะอยู่ประมาณ 15,000-20,000 บาท รายละเอียดของงานจะต้องบอกอย่างชัดเจนว่าเป็นงานแบบไหน ไม่ใช่ว่าบอกเป็นงานเพื่อนเที่ยว แต่ไปจริงแล้วต้องนอนกับลูกค้า แบบนี้ไม่มีใครทำ

หันหลังให้รายรับ ที่เคยได้ถึงหลักแสน

น้องบี เล่าให้ฟังว่า ตนทำงานในวงการนี้ประมาณ 5-6 ปี ตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ปี 2 กระทั่งเรียนจบออกมาแล้ว ก็ยังทำงานนี้อยู่ 2-3 ปี เพราะรายได้ดี ทำงานพีอาร์ 10 วัน ได้เงินขั้นต่ำประมาณ 1 หมื่นบาท ไม่รวมทิป ไม่รวมค่าดื่ม แต่ถ้ารวม จะอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท

หากถามถึงรายได้ที่เคยได้มากที่สุด ซึ่งตนทำทั้งงานพีอาร์ เอนเตอร์เทน และเพื่อนเที่ยว ทำทุกวันทั้งเดือน เคยได้เงินมากกว่า 1 แสนบาท แต่งานก็ไม่ได้เข้ามาเยอะแบบนี้เสมอ แล้วแต่จังหวะ

ตอนนี้ตนเลิกอาชีพเหล่านี้แล้ว ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น ความมั่นคงในชีวิตต้องมาก่อน อีกทั้งมีเด็กๆ หน้าใหม่เข้ามาในวงการมากขึ้น ลูกค้าที่เคยจ้างเรา วันหนึ่งเขาไปเจอเด็กที่น่ารักกว่า เขาก็ต้องเลือกอยู่แล้ว

คิดอยู่เสมอว่า ทำอาชีพนี้ เพื่ออะไร

ย้อนกลับไปตอนที่ยังรับงาน คนรอบตัวทราบว่า เราทำงานอะไร แต่ความคิดของแต่ละคนเป็นเรื่องที่เราห้ามไม่ได้ มีทั้งเป็นห่วง และมองเราไม่ดี บางคนมองว่า เราทำอาชีพที่ไม่มีเกียรติ แม้กระทั่งครอบครัว ตอนแรกก็รับไม่ได้ เพราะเขาอยากให้เราทำงานที่มั่นคง แต่เราไม่สนใจ เพราะรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ อย่าหลงระเริง จนใจแตก ต้องมีสติในการรับงาน คิดก่อนว่า เงินที่ได้มา จะเอาไปทำอะไร จะได้ไม่เอาไปใช้เรื่อยเปื่อย

อย่างที่บอก บ้านตนไม่ได้ร่ำรวย การที่ตนรับงาน เพราะอยากได้เงินก้อนไว้ดูแลพ่อแม่ ตอนที่ทำงานประจำ ได้เงินเดือนหมื่นกว่าบาท มันไม่พอ หลังจากมารับงานพีอาร์ เพื่อนกินข้าว เอนเตอร์เทน ไม่กี่วัน ได้จับเงินหมื่น มันพลิกชีวิตค่อนข้างเยอะ ที่บ้านก็ดีขึ้น ซึ่งตนจะบอกกับครอบครัวตลอดว่า จะไม่ทำงานแบบนี้ไปตลอดหรอก ขอแค่ชีวิตตั้งหลักได้ ทุกอย่างดีขึ้น ก็จะไม่กลับไปทำอีก ดังนั้น สำหรับตน อาชีพนี้จะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่ที่มุมมองของแต่ละคนมากกว่า