สัญญาณคลื่นความร้อนมาตั้งแต่ยังไม่ทันถึงฤดูกาล
บ่งบอกหน้าร้อนปีนี้หนีไม่พ้นร้อนตับแลบ แบบที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ล่วงหน้าประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้
อุณหภูมิจะพุ่งทะลักไปสูงแตะที่ระดับ 43 องศาเซลเซียส
อากาศร้อนทะลุปรอทรับกันพอดีกับการเมืองเดือดระอุ ในห้วงจังหวะสถานการณ์เข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้งใหญ่ ศึกเดิมพันเกมอำนาจประเทศไทย
ปี่กลองเชิดฉิ่งโหมโรง บรรยากาศหาเสียงคึกคัก
ทุกพรรคทุกค่ายเดินสายลงพื้นที่กันฝุ่นตลบ ปาดหน้า ตลบหลังกันอุตลุด
และถึงจุดนี้ก็เลย “เส้นตาย” พ้นเดดไลน์ 7 กุมภาพันธ์ วันสุดท้ายที่รัฐธรรมนูญล็อกเวลาให้ผู้มีสิทธิลงสมัคร ส.ส.ต้องสังกัดพรรคไม่ต่ำกว่า 90 วัน กรณีครบเทอมสภา
แต่แนวโน้มไม่ได้ตื่นเต้นกันสักเท่าไหร่ ตามสถานการณ์เคลื่อนไหวย้ายพรรคในห้วงเดดไลน์ 90 วัน ไม่ได้ขยับกันพรึบพรับอย่างที่ควรจะเป็น เท่าที่เห็นอลังการหน่อยก็คิวเปิดตัวกลุ่มชลบุรี ภายใต้การนำของ “เสี่ยแป๊ะ” นายสนธยา คุณปลื้ม อดีต รมว.การท่องเที่ยวฯ ที่ขนลูกข่ายเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย
ซึ่งนั่นก็คือวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ้นเส้นตายมาแล้ว 1 วัน
ดูท่าก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ “เส้นตาย” ไม่ได้กลัวแพ้ฟาวล์ตั้งแต่ยังไม่ทันลงสนามแต่อย่างใด
อ่านทางจากมวยฟอร์มเก๋าระดับแกนนำบ้านใหญ่ หัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าก๊วน “นักเลือกตั้งอาชีพ” ไม่ได้รีบหงายไพ่ใบสุดท้าย ไม่ตกใจกับเส้นตายย้ายพรรค 90 วัน กรณีสภาอยู่ครบเทอม
เพราะต่างฟันธง แทงเต็ง “ยุบสภา”
...
อ่านทาง ดักไต๋ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ยังไงก็ไม่ลากจนครบเทอม ต้องกดปุ่มล้มกระดานตามเงื่อนไขสถานการณ์บังคับ
อันดับแรกเลยคือ ไม่ยอมให้อำนาจรักษาการหลุดมือ
เพราะขืนท่านผู้นำลากยาวไปจนครบเทอม ตื๊ออยู่จนครบวาระ ตามรัฐธรรมนูญรัฐบาลต้องพ้นวงจรฝ่ายบริหารทันที ต้องเปิดทางให้ปลัดกระทรวงปฏิบัติหน้าที่แทน
แผนการที่วางคน แต่งตั้งขุมข่ายเอาไว้ชิงแต้มต่อในเกมเลือกตั้งมีหวังอันตรธาน
นี่คือเหตุผลสำคัญสุดที่เซียนกล้าขายบ้านทุ่มพนันได้ ยังไง “บิ๊กตู่” ก็ต้องเลือก “ยุบสภา” เพื่อยื้ออำนาจรัฐบาลรักษาการไปแบบยาวๆจนกว่ารถเมล์จะสุดสายไปต่อไม่ได้
ส่วนปัจจัยเสริมที่รองลงไป นั่นก็คือการยืดเวลาทำงานของไดโว่ยี่ห้อรวมไทยสร้างชาติ
เพราะจนถึงป่านนี้ยังดูดได้ไม่เข้าเป้า ค่ายรวมไทยสร้างชาติที่โดนพวกปากดีผวนกลับเป็นพรรครวมทาสสร้างชัย ตกอยู่ในสภาพของแหล่งรวม “ดาวกระจาย” ทำได้แค่เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน
ไม่รู้จะเริ่มต้นนับหนึ่งจากตรงไหนให้ถึง 25 เสียง เกณฑ์ต่ำสุดเสนอบัญชีนายกฯ
ในฟอร์มของพรรคการเมืองใหม่ป้ายแดง ที่ไร้ทีม “บ้านใหญ่” เป็นแต้มต้นทุนหน้าตัก หนักไปทางกองกำลังชนกลุ่มน้อยอย่าง “เสี่ยเฮ้ง” นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน “เสี่ยแฮงค์” นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ กับมวยเกรดเอประเภทใส่แต้มล่วงหน้าแทบนับหัวได้
และเมื่อสแกนเข้าไปถึง “เนื้อใน” ก็พบว่า “แก่นแท้” จริงๆก็คือกองทัพ กปปส. ภายใต้กำกับของ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขาใหญ่ หน้าเก่า เจ้าเดิม
หนักไปทางพวกโหนเกมมวลชน ไม่มีพื้นที่เลือกตั้ง
แม้กระทั่งหัวหน้าค่ายอย่าง “เสี่ยตุ๋ย” นายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รวมไปถึง “เสี่ยขิง” นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ก็ยังไม่มีเขตเลือกตั้งชัวร์ๆ ประกันแต้มได้
“ตีนลอย” เท้งเต้งทั้งคู่เลย
ขืนลุยถั่วด้วยความมั่นอกมั่นใจในเสียงแห่ เสียงอวยกันเอง หลอกตัวเองไปตามสภาพที่เห็นอยู่ ก็เท่ากับแห่ “บิ๊กตู่” ไปประจานขายหน้าซะมากกว่า
มันจึงเป็นอะไรที่ต้องทอดเวลา เพิ่มพลังดูดกันอีกเฮือก
ไดโว่ยี่ห้อรวมไทยสร้างชาติที่ว่า “พลังงานล้นเหลือ” กว่าใคร ต้องอัดกล้วยกันอีกเป็นโกดังเพื่อกวาดต้อนลูกหาบมาหามแห่ผู้นำทหารเฒ่าไปสู่จุดหมาย
ภายใต้เงื่อนเวลาที่เหลืออยู่ ยืดระยะให้นานที่สุด
และโดยไฟต์บังคับของ “บิ๊กตู่” ก็จะเป็นโอกาสทองของ “นักเลือกตั้งอาชีพ” ที่จะเปิดประมูลราคาค่าตัวประชันกับตลาดนัดวัวควาย ปั่นมูลค่าไปจนนาทีสุดท้าย
ยุบสภาแล้ว ก็ยังย้ายพรรคเปลี่ยนสังกัดได้
ฉะนั้น จึงไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้นตามธรรมชาติการ เมืองแบบไทยๆ ไอ้ที่เปิดหน้า แถลงข่าวโชว์ตัวสังกัดพรรคไปแล้ว ยืนกรานเสียงแข็งว่าไม่ย้าย ไม่หนี ก็อย่าเพิ่งวางใจกันไป
มันยังมีช่วงกลับลำ พลิกโผนาทีสุดท้าย
ฝุ่นจะฟุ้งกระจายอีกรอบในห้วงกดปุ่มยุบสภา นั่นแหละถึงจะชัวร์ ใครอยู่ใครไป
ป้อมค่ายไหนมีโอกาสจะกวาด ส.ส. ลุ้นเป็นรัฐบาลมากสุด
ตามฟอร์มที่เหล่าเซียนในหมู่นักเลือกตั้งอาชีพ ตั้งราคา เต็งหนึ่ง เต็งสอง เต็งสาม ว่ากันตามต้นทุนหน้าตักที่มีมวยเกรดเอ อดีต ส.ส.ในพื้นที่เลือกตั้งเป็นหลัก
แชมป์ยืนหนึ่งคือพรรคเพื่อไทย ทีมนายห้างดูไบ ที่แน่นไปทั่วแผ่น
แผนการตลาดใช้ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เรียกแขกได้ผลตามคาด อดีต ส.ส.เก่ายังอยู่กันหนาแน่น บวกกับทีมใหม่ บ้านใหญ่ที่ไหลเข้า ตามเป้าที่ตั้งกันไว้เกิน 230-240 ที่นั่ง ไม่ไกลเกินความเป็นจริงแต่อย่างใด
ส่วนเต็งสองก็คือค่ายเซราะกราว ภูมิใจไทย ที่โหมพลัง “ผีโม่แป้ง” อัดกล้วยเป็นโกดัง ดูด ส.ส.ต้อนงูเห่าเข้ารู “ทีมเสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ตั้งธงยกระดับเป็นพรรคเกินร้อย
อย่างน้อยถ้าหลุดเป้าก็ต้องอยู่ที่ 70-80 เก้าอี้
ขณะที่เต็งสาม คือพรรคพลังประชารัฐ ที่เบียดแรงแซงโค้งขึ้นมา ตามเงื่อนไขสถานการณ์ภายหลัง “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าค่าย พปชร. สามารถเจรจากับ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ มือเศรษฐกิจ
ดึงทีม “สี่กุมาร” ทั้งนายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พลังงาน กลับบ้านเดิม เสริมความแกร่ง แต่งหน้าเค้กทีมเศรษฐกิจ
พลังประชารัฐเพิ่มโอกาสลุ้นปาร์ตี้ลิสต์ ผนวกกับต้นทุน ส.ส.เขตพื้นที่ ตามสภาพกองกำลังบ้านใหญ่ที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ว่าจะทีมกำแพงเพชร ของนายวราเทพ รัตนากร ทีมเพชรบูรณ์ ของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ทีมโคราช ของนายวิรัช รัตนเศรษฐ ทีมปากน้ำ ของนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ทีมของ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แม้แต่ทีมสามมิตร นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม กับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ก็ยังปักหมุดที่เดิม
การเสริมทีมอย่างมียุทธศาสตร์ ทำให้พลังประชารัฐถีบตัวขึ้นมาชิงธงเป็นแกนจัดรัฐบาลเต็มตัว
ใส่แต้มชัวร์ๆล่วงหน้าได้หลัก 40-50 ที่นั่ง
หลุดจากผังเต็งหนึ่ง เต็งสอง เต็งสาม ตามขุมพลังที่ลดระดับลงไป ในข่ายพรรคต่ำ 40 ไล่ลงมาทั้งค่ายประชาธิปัตย์ที่โดนทีมแห่ “บิ๊กตู่” ดูดไปจนเหี้ยนใน กทม.ยังไม่ฟื้น ปักษ์ใต้โดนคู่แข่งเจาะพรุน
ปชป.ในยุค “อู๊ดด้า” นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ลุ้นเป็นพรรคเกิน 30 ก็เข้าเป้าแล้ว
แต่ที่แนวโน้มไม่แข่งเบ่งพองลมกับใคร พรรคชาติไทยพัฒนา ภายใต้การนำของ “เสี่ยท็อป” นายวราวุธ ศิลป อาชา รมว.ทรัพยากรฯ สู้แบบเจียมเนื้อเจียมตัว ลุ้นขยับไปที่ 20 เก้าอี้
เน้นปักฐานเขตเลือกตั้งชัวร์ๆ ตามฟอร์มพรรคอะไหล่จำเป็นของรัฐบาล
เรียงตามลำดับไหล่ ในมุมของพรรคที่มีพื้นที่เลือกตั้งเป็นฐานหน้าตัก ส่วนค่ายที่อิงกับกระแสก็คือพรรคก้าวไกล ที่โดดเด่นในฐานเสียงคนรุ่นใหม่ ในมุมตรงกันข้ามกับยี่ห้อรวมไทยสร้างชาติ ที่ต้องลุ้นแต้มของแฟนพันธุ์แท้ “บิ๊กตู่”
ตัวเลขขึ้นลงตามกระแส นับหัวแน่นอนยังไม่ได้
ที่หนักหนาสาหัสก็คือพรรคเล็ก ยี่ห้อชาติพัฒนากล้า ภายใต้กำกับของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ กับพรรคไทยสร้างไทยของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ยังไม่ชัวร์จะดันแต้มได้แค่ไหน
ในสถานการณ์ต้องโหนสู้ทั้งกระแสและกระสุน
เต็งหนึ่ง เต็งสอง เต็งสาม ไปยันพรรคเล็กที่โหนสู้ตัวโก่ง นี่คือปัจจัยเสริมที่นักเลือกตั้งอาชีพจะได้พิจารณาในการเลือกพรรคสังกัด นอกเหนือไปจากวัดกันด้วยปริมาณกล้วย แข่งแย่งประมูลซื้อตัว
อีกทั้งช็อตต่อไปก็สำคัญ นั่นคือโอกาสที่พรรคต้นสังกัดจะได้ร่วมรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน
ตามสถานการณ์ที่ปักธงชัดเจนเด่นชัดแค่ 2 ค่าย นั่นคือพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ประกาศไม่สังฆกรรมกับ “ทักษิณ” และพรรคก้าวไกล เช่นเดียวกับทีมเด็กรุ่นใหม่ ที่สวนกลับไม่สังฆกรรมกับทีมสลิ่ม
ก๊วนแห่ “บิ๊กตู่” กับทีม “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” แยกขั้วกันชัดเจน
นอกนั้น จับอาการ “บิ๊กป้อม” ก็ย้ำพลังประชารัฐ เป้าหมายลดความขัดแย้ง “เสี่ยหนู” ออกตัวล้อฟรี ไม่เคยคิดร้ายกับ “ทักษิณ” คลานกราบขอโทษ “บิ๊กตู่” จนเข่าด้าน ขณะที่ทีมนายห้างดูไบที่บอกปัดฮั้วกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ออกลูกกั๊ก การจับขั้วรัฐบาลไปว่ากันหลังรู้ผลเลือกตั้ง
ปลดล็อกขั้ว ทำลายพันธนาการ แทงหวยลุ้นเป็นรัฐบาลกันทั้งนั้นเลย.
“ทีมการเมือง”