ประเทศไทยปีนี้ “เตรียมรับมือสภาพอากาศร้อนตับแตก” ทำลายสถิติในรอบ 73 ปี นับแต่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่ 21 ก.พ.-ปลาย พ.ค.2567 คาดว่า จะร้อนกว่าปกติประมาณ 1-2 องศาฯ
โดยเฉพาะประเทศไทยตอนบนอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 42-44.5 องศาฯ อย่าง จ.แม่ฮ่องสอน อุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก และอุดรธานี ในส่วน “กรุงเทพฯ” อุณหภูมิสูงสุด 40-41 องศาฯ “ภาคใต้” ปลาย ก.พ.-เม.ย. อุณหภูมิสูงสุด 40-41 องศาฯ สาเหตุนั้น รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต บอกว่า
ตามการประเมินภาพรวมอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1-2 องศาฯ กลายเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า “ฤดูร้อน” ตั้งแต่เดือน ก.พ.-พ.ค.นี้จะร้อนจัดมากกว่าปีที่แล้ว 1-2 องศาฯทำให้ในปี 2567 “ทุกพื้นที่ของประเทศไทยจะมีอุณหภูมิสูงสุดทำลายสถิติเท่าที่เคยมีมาตั้งแต่ปี 2494” แต่คำถามว่าจังหวัดไหนร้อนสุด หรืออุณหภูมิระดับใด
เรื่องนี้ต้องย้อนหลังดูสถิติ “อุณหภูมิสูงสุด” แล้วนำมาบวกปัจจัยสถานการณ์เป็นค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ประมาณ 0.3 องศาฯ ดังนั้น ในปี 2567 “อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดคาดว่าน่าจะอยู่ที่ 44.6-44.9 องศาฯ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จ.ลำปาง จ.แม่ฮ่องสอน จ.ตาก เพราะเป็นพื้นที่ราบสูง และไม่มีป่าปกคลุมอันเกิดจากการถูกทำลายไปจำนวนมาก
...
ถัดมาคือ “ภาคอีสาน” อย่างเช่น จ.อุบลราชธานี แม้เป็นพื้นที่ราบสูงแต่ยังมีพื้นที่การเกษตรสามารถบรรเทาอากาศร้อนลงได้อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดน่าจะอยู่ที่ 41-42 องศาฯ “กรุงเทพฯ” อันเป็นเขตเมืองเก็บสะสมความร้อนได้ดี แต่ด้วยที่ตั้งอยู่ใกล้ทะเลมักมีความชื้นเข้ามาในพื้นที่ช่วยคลายอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดจะอยู่ที่ 37-38 องศาฯ
เช่นเดียวกับ “ภาคใต้” ที่เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากฤดูมรสุมเข้าสู่ “ฤดูร้อน” ทำให้สภาพอากาศเริ่มดีขึ้นกำลังเหมาะกับการท่องเที่ยว “อุณหภูมิไม่น่าเกิน 40 องศาฯ” เพราะมีลมทะเล 2 ฝั่ง คอยช่วยผ่อนคลาย
ทว่าปัจจัยนำไปสู่ “อากาศร้อนสุดรอบ 73 ปี” มีสาเหตุมาจาก 3 เรื่องคือ เรื่องแรก...“อุณหภูมิโลกสูงขึ้นทุกปี” ที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงกว่าปกติ เนื่องจากหลายประเทศไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงปารีสได้ ในเป้าหมายรักษาระดับอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 2 องศาฯ หรือไม่เกินขีดจำกัด 1.5 องศาฯ
เริ่มจากในระยะสั้น “ทุกประเทศ” ต้องร่วมมือช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่น้อยกว่า 43% หรืออย่างน้อยปีละ 8% ในปี 2573 แต่สถานการณ์ปัจจุบันกลับปล่อยมากจนอุณหภูมิทั่วโลกสูงเฉลี่ย 1.2 องศาฯ
เมื่อเป้าหมายระยะสั้นล้มเหลว โดยเฉพาะจีน ใช้ถ่านหินลิกไนต์ผลิตรถไฟฟ้าส่งออก และประกาศจะจำกัดการปล่อยคาร์บอนไม่ให้มีปริมาณสูงเกินสถิติในปี 2567 “แต่ก็ไม่อาจทำได้” ต้องกลับมาประกาศเป็น Net Zero ปี 2608 เช่นเดียวกับ “อินเดียจีดีพีโต 7%” แต่ก็พึ่งพาถ่านหินในสัดส่วนที่มากจนต้องประกาศเป็น Net Zero ปี 2613
สะท้อนให้เห็นว่า “เป้าการลดอุณหภูมิสูงของโลก 1.5 องศาฯ กำลังถูกทำลายลงแล้ว” เพราะไม่มีบทลงโทษทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ กลับกลายมาเป็นการปรับระดับการลดอุณหภูมิไม่เกิน 2 องศาฯแทน
ในส่วนประเทศไทย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ” เคยประกาศยกระดับแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศให้บรรลุเป้าเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ Net Zero ในปี 2608 “แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่” เพราะแนวทางการดำเนินการยังไม่มีให้เห็นชัดเจนด้วยซ้ำ
แล้วกติกา Net Zero ระบุชัดว่า “ห้ามขุดน้ำมันแห่งใหม่” ดังนั้นกรณีไทย-กัมพูชามีแผนร่วมขุดเจาะพลังงานในทะเลอาจทำผิดกติกา แม้ไม่มีบทลงโทษแต่อาจถูกบีบด้วยมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศแทน
ซํ้าร้ายถ้าไม่สามารถทำได้ “ตามประกาศเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero” ประเทศไทยอาจต้องเผชิญสงครามทางการค้าโดยเฉพาะ “การนำเข้าจะบีบให้ราคาสูง” ท้ายที่สุดภาระต้องมาลงกับผู้บริโภคเจอภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) แพงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน เรื่องนี้เป็นประเด็นที่รัฐบาลกังวลมากที่สุด
ต่อมาปัจจัยเรื่องที่ 2...“ปรากฏการณ์เอลนีโญ” ด้วยประเทศไทยกำลังเผชิญเอลนีโญตั้งแต่ปี 2566 ทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์นี้รุนแรง “อุณหภูมิจะสูงกว่าปกติ 0.2 องศาฯ” ทำให้ปีนี้ต้องเจออากาศร้อน และภัยแล้งจัด
...
เรื่องที่ 3...“การครบรอบจุดระเบิดบนดวงอาทิตย์” อันเป็นปรากฏการณ์ของดวงอาทิตย์ปล่อยพลังงานมากที่สุดในทุก 11 ปี ทำให้โลกได้รับอิทธิพลจากรังสีเพิ่มมากขึ้น “อุณหภูมิจะสูงอีก 0.1 องศาฯ” ดังนั้น สรุปได้ว่าปัจจัยทั้ง 3 เรื่องที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ล้วนเป็นเหตุให้ปี 2567 อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นราว 1.52 องศาฯ แน่นอน
ตอกย้ำจากงานวิจัยของ PNAS บ่งชี้ว่า “โลกอาจจะหลีกเลี่ยงอุณหภูมิสูงเกิน 2 องศาฯไม่ได้” ที่มีความเป็นไปได้มากกว่า 84% ในปี 2601 และปี 2608 เพราะมีการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกในระดับสูง ทำให้อุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้อาจส่งผลกระทบต่อ “มนุษยชาติ” มีความเสี่ยงที่จะเผชิญสภาพอากาศรุนแรงสุดขั้ว
โดยไม่อาจกลับไปสู่สภาวะสมดุลได้ เช่น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น การสิ้นสลายปะการังในมหาสมุทร รวมทั้งการสูญเสียระบบนิเวศบนโลก และมนุษย์มีขีดจำกัดการปรับตัวได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
ฉะนั้น ในขีดจำกัดนี้ “ต้องไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเกิน 1.5 องศาฯ” เพราะในปี 2566 อุณหภูมิโลกแตะเกิน 1.5 องศาฯ 180 วัน หรือครึ่งปี จึงต้องจับตาสถานการณ์ปีนี้เพียงเข้าต้นเดือน ก.พ.จากข้อมูลกรมอุตุนิยมวิทยาก็ชี้อุณหภูมิสูงสุดแตะ 38-39 องศาฯ ที่ จ.กาญจนบุรี “อากาศร้อนมากกว่าปกติ” ส่งผลให้ค่าไฟแพงขึ้นตามมา
...
ล่าสุด “อุณหภูมิโลกรอบ 365 วัน ถึงเดือน ม.ค.2567 เพิ่มขึ้น 1.52 องศาฯ” จากข้อมูล C3S/ECMWS แม้จะยังไม่เข้าเกณฑ์เฉลี่ยระยะยาว 1.5 องศาฯ “ตามข้อตกลงปารีส” แต่ก็เป็นสัญญาณว่า เราคงจะหนีไม่พ้นความรุนแรงของสภาพอากาศสุดขั้วตั้งแต่ต้นปี 2567 เริ่มจากคลื่นความร้อน และไฟป่าในชิลี หรือน้ำท่วมหนักในรัฐแคลิฟอร์เนีย
เช่นเดียวกับ “ประเทศไทย” อาจต้องเผชิญกับความร้อน และภัยแล้งจัดรุนแรง 4 เท่า อย่างเช่นสมัย 10 ปีที่แล้ว เคยเกิดภัยแล้ง 1 ครั้ง “แต่เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1.52 องศาฯ” ย่อมทำให้มีความเสี่ยงเกิดภัยแล้ง 4 ครั้ง หรือ 2 ปี/ครั้ง อีกทั้งยังตามมาด้วยฝนตกหนักน้ำท่วมใหญ่รุนแรง 2 เท่า หรือ 5 ปี/ครั้ง
ไม่เท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน “ประเทศไทย” เจอทั้งความร้อน ความแห้งแล้ง ไฟป่า ฝุ่นพิษ ดังนั้น ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ “ต้องระวังรักษาสุขภาพ” ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่ใช่เฉพาะมนุษย์ที่รู้สึกร้อน พืช และสัตว์ก็มีความอ่อนไหวต่ออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น เช่น เต่าแม่น้ำแอมะซอน หรือปลาฉลามบางชนิดอาจสูญพันธุ์
ประการต่อมา “ปริมาณน้ำต้นทุนลดน้อยลง” เรื่องนี้น้ำอุปโภค-บริโภคไม่มีปัญหาใดๆ “แต่น้ำการเกษตรมีปัญหาแน่” ด้วยในขณะพืชบางชนิดอย่าง “ข้าว” รัฐบาลประกาศให้ปลูกนาปังเพียงรอบเดียว
แต่ด้วย “ราคาข้าวสูงขึ้น” กลายเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรปลูกเกินแผนของรัฐบาลประมาณ 180% เพราะตามแผนให้ปลูกไม่เกิน 3 ล้านไร่ ตอนนี้ปลูกทั่วประเทศ 8 ล้านไร่ ในจำนวนนี้เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาอยู่ที่ 6 ล้านไร่ แล้วมีการเก็บเกี่ยวเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ก็ปลูกรอบ 2 ทันที แต่น้ำมีจำกัดอาจไม่ได้รับน้ำจนเกิดความเสียหาย
...
นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่า “ผลผลิตพืชชนิดอื่นจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” โดยเฉพาะทุเรียน เจ้าของสวนภาคตะวันออกบ่นว่า ผลผลิตน่าจะลดลงประมาณ 30% “ทุเรียนภาคใต้” ผลผลิตลดลงกว่า 90% เพราะอากาศที่ร้อนจัดทุเรียนขาดน้ำทำให้ปีนี้การจัดการน้ำเผชิญความเสี่ยง และความท้าทายสูงนับจากนี้ต่อไป
ดังนั้น ทางเลือกมีไม่มากว่า “จะอยู่กับปัจจุบันหรืออยู่กับอนาคตที่ไม่แน่นอน” เพราะช่วงครึ่งปีหลัง เอลนีโญจะเปลี่ยนผ่านสู่ลานีญาแบบอ่อน-ปานกลาง และกลับมาเป็นเอลนีโญในปี 2568 “ฝนจะมาปกติแต่ภาคเหนือ-ภาคอีสานตอนบนไม่ดี” ควรออกแบบฉากทัศน์เดินอย่างระมัดระวัง ถ้าผิดพลาดความเสียหายจะตามมา
นี่คือสถานการณ์โลกปัจจุบัน “อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1.52 องศาฯ” ทำให้ประเทศไทยเพียงแค่เดือน ก.พ.อากาศก็ร้อนมากแล้ว แต่เรายังต้องเจอของจริง “ร้อนสุดขั้วที่ไม่เคยมีมาก่อน” ในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.2567 ดังนั้น พี่น้องคนไทยต้องตื่นตัวเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้ และไกลนี้ด้วย.
คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม