(Crภาพ:Twitter)

กล้องวงจรปิด เผยภาพฝูงชนนักเที่ยวจำนวนมากเบียดเสียดเยียดยัดบนซอยเล็กๆ ในย่านอิแทวอน ขณะพากันมาเที่ยวปาร์ตี้ฮาโลวีน ก่อนเกิดโศกนาฏกรรมเหยียบกันตาย ดับสลดอย่างน้อย 151 ราย ยังสูญหายกว่า 350 คน

เมื่อ 30 ต.ค. 2565 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าโศกนาฏกรรมนักเที่ยวจำนวนมากเหยียบกันตายที่ย่านอิแทวอน ย่านท่องเที่ยวยามราตรีชื่อดังในกรุงโซล เมืองหลวงเกาหลีใต้ เมื่อค่ำคืนวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา ขณะที่ผับบาร์ในย่านนี้ต่างพากันจัดปาร์ตี้ฮาโลวีนกันอย่างคึกคัก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 151 ราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 82 คนแล้วนั้น

ภาพจาก twitter : ผู้คนจำนวนมากมาเที่ยวสถานบันเทิงที่ย่านอิแทวอน  ในกรุงโซล ก่อนเกิดโศกนาฏกรรมเหยียบกันตายสลด อย่างน้อย 151 ราย เมื่อคืนวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ภาพจาก twitter : ผู้คนจำนวนมากมาเที่ยวสถานบันเทิงที่ย่านอิแทวอน ในกรุงโซล ก่อนเกิดโศกนาฏกรรมเหยียบกันตายสลด อย่างน้อย 151 ราย เมื่อคืนวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา

...

มีการเผยแพร่คลิปจากกล้องวงจรปิด แสดงให้เห็นว่ามีฝูงชนจำนวนมากพากันมาเที่ยวย่านอิแทวอน จนเกิดการเบียดเสียดกันอย่างแน่นขนัด ถึงขนาดถูกผู้คนด้านหลังผลักดันให้ค่อยๆ ขยับเดินไปข้างหน้า ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มออกมาจากผับในบริเวณนั้นที่มีการเปิดเพลงเสียงดังเพื่อสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน ก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมไม่คาดคิด เหยียบกันตายอย่างสุดสลด

มีรายงานข่าวจากผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เผยว่า โศกนาฏกรรมฮาโลวีน เหยียบกันตายที่ย่านอิแทวอน เกิดขึ้นในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง ที่มีนักเที่ยวจำนวนมากเบียดเสียดเยียดยัด จนทำให้มีคนล้มลงและจึงเกิดการล้มทับกันแบบโดนิโน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 151 ราย โดยผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่ เป็นคนหนุ่มคนสาวอายุในช่วง 20 กว่าปี นอกจากนั้นเหยื่อโศกนาฏกรรมเหยียบกันตายย่านอิแทวอน ยังมีชาวต่างชาติเสียชีวิตรวมอยู่ด้วย 19 ราย ขณะที่ยังมีผู้มาแจ้งมีผู้สูญหายอีกกว่า 350 คน

เบื้องต้น ยังไม่มีการยืนยันสาเหตุชัดเจนที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมฮาโลวีน เหยียบกันตายที่ย่านอิแทวอน ซึ่งถือเป็นการจัดงานปาร์ตี้ฮาโลวีนครั้งแรกในรอบ 3 ปี  หลังจากทางการเกาหลีใต้ได้คลายมาตรการล็อกดาวน์ควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 โดยอนุญาตให้ประชาชนไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่นอกอาคาร จึงทำให้มีผู้คนพากันออกมาเที่ยวสถานบันเทิงในย่านอิแทวอนกันเป็นจำนวนมาก.

ที่มา : BBC