เทอร์รี สมา รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น บริษัทอินฟอร์ ผู้ให้บริการเทคโนโลยีคลาวด์โซลูชันสำหรับอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การใช้งาน AI เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เนื่องจากสเกลขนาดมโหฬารของเทคโนโลยีคลาวด์ที่มาพร้อมกับโปรเซสเซอร์อันทรงพลัง ทำให้สามารถคำนวณคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน และเข้าถึงชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้แบบเรียลไทม์
ปัจจุบันออฟฟิศ หรือแอปพลิเคชันการผลิตที่เป็นดิจิทัลส่วนใหญ่จะมีฟีเจอร์ AI ต่างๆ ติดตั้งมาเบ็ดเสร็จ ซึ่งสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ผู้ประกอบการหลายเจ้ามีการใช้งานซอฟต์แวร์ หรือโปรแกรมที่ทำงานด้วยกระบวนการโรบอตแบบอัตโนมัติ (Robotic Process Automation: RPA) ต่อมาก็พัฒนาเป็นแชตบอตที่พูดไม่ได้สำหรับจัดการงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ทักษะพิเศษ แต่เมื่อมีการนำมาผสานรวมกับ AI จึงทำให้ฉลาดขึ้น และทำให้ได้ผลผลิตที่มีมูลค่ามากขึ้น จนในที่สุดมีการนำไปใช้กับธุรกิจ และการดำเนินงานทุกประเภท
บริหารจัดการซัพพลายเออร์ AI และแมชชีนเลิร์นนิงสามารถตรวจสอบข้อมูลที่อยู่เบื้องหลังบริการ และแนะนำวิธีปรับปรุงประสิทธิภาพของซัพพลายเออร์ได้ ช่วยลดความซับซ้อนกระบวนการติดต่อประสานงาน มองเห็นจุดอ่อนของผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น
ปรับปรุงประสบการณ์การขาย AI สามารถปรับราคา หรือให้คำแนะนำในการซื้อได้แบบไดนามิก เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย แอปพลิเคชันการขายที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะสามารถแนะนำส่วนลดตามปริมาณสินค้า โดยพิจารณาจากข้อมูลการขายและการวิเคราะห์ความรู้สึก อิงตามพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าที่ผ่านมา และตามสภาวะตลาด
เพิ่มประสิทธิภาพสินค้าคงคลัง AI สามารถมอนิเตอร์รูปแบบการขายและตรวจสอบให้แน่ใจว่าสต๊อกสินค้าที่ถูกต้องจัดเก็บอยู่ในตำแหน่งในคลังสินค้าที่ถูกต้องตลอดเวลา และตรงตามเทศกาล ฤดูกาล ความต้องการตลาด และเมื่อผลิตภัณฑ์ หรือซัพพลายต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ AI ยังสามารถตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และค่าธรรมเนียมซัพพลายเออร์ เพื่อหาวิธีการซื้อ จัดส่ง และกระจายสินค้าไป-กลับ จากการดำเนินงานคลังสินค้าได้อย่างคุ้มค่าที่สุด เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่รวดเร็วที่สุด พนักงานสามารถใช้เวลาที่เพิ่มขึ้นไปกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึก และวางตำแหน่งธุรกิจให้เป็นบริษัทที่ทันสมัย แข่งขันได้ในยุคดิจิทัล
ทั้งนี้ข้อมูลจาก PWC ได้คาดการณ์ว่าในทศวรรษหน้ามีการคาดการณ์ว่า AI จะช่วยเพิ่ม GDP ทั่วโลกได้ถึง 15 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 510 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจไทยที่จะต้องรู้จักเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างจุดแข็งให้กับกระบวนการผลิต และพนักงานของตนเอง.