มารี เอลกา ปังตะซุ อดีตผู้บริหารธนาคารโลก และอดีตรัฐมนตรีการค้าและการท่องเที่ยวของอินโดนีเซีย ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า ประเทศกำลังพัฒนาต้องการเงิน 1 -3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานที่สะอาดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการปล่อยคาร์บอนสูง
โดยเธอให้มุมมองอีกว่า การขาดเงินทุนทำให้เหล่าประเทศกำลังพัฒนาสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดได้ยาก และสิ่งนี้เองที่จะนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างประเทศกำลังพัฒนา และประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่มีความคืบหน้าอย่างมากในการผลักดันเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ รวมถึงยังเน้นย้ำว่าเหล่าประเทศกำลังพัฒนาจะต้องพิจารณาให้ครอบคลุมทั้งด้านการพัฒนาประเทศและสภาพอากาศ เนื่องจากทั้งสองประเด็นเกี่ยวพันอย่างแยกจากกันไม่ได้
สิ่งสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากการปล่อยมลพิษสูงไปสู่พลังงานสะอาด การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการจัดการกับความซับซ้อนทางการเงินและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ในการประชุมรัฐมนตรีด้านสภาพอากาศของกลุ่ม G20 ในอินเดียเมื่อเร็วๆ นี้ได้เน้นย้ำถึงความท้าทายในการบรรลุฉันทามติในเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาเงินทุนด้านสภาพอากาศสำหรับประเทศกำลังพัฒนา แต่ผลสรุปปรากฏว่าไม่มีทิศทางร่วมกัน ส่งผลให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ทั้งยังสร้างความกังวลเกี่ยวกับวิกฤติสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นด้วย
อดีตผู้บริหารธนาคารโลก ได้เรียกร้องให้มีความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากขึ้นเพื่อจัดการกับวิกฤตสภาพอากาศอย่างเร่งด่วน โดยเธอเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสนับสนุนทางการเงินจากประเทศที่พัฒนาแล้ว เพื่อช่วยในการเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการชดเชยบริษัทเอกชนสำหรับการเลิกใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินก่อนกำหนด
จากความล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงในการประชุมสภาพภูมิอากาศของกลุ่ม G20 ได้กระตุ้นให้มีการเรียกร้องให้ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นวาระเร่งด่วน โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นสำหรับความพยายามระดับโลกที่เป็นหนึ่งเดียวเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจัดหาเงินทุนที่จำเป็นสำหรับโครงการที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศกำลังพัฒนา
อ้างอิง : CNBC