การประชุม COP28 หรือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 28 (UNFCCC COP28) กำลังจัดขึ้น ณ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (30 พฤศจิกายน - 12 ธันวาคม 2566)
โดยในครั้งนี้ “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เป็นผู้แทนของประเทศไทย ในการประชุมร่วมกับผู้นำโลกกว่า 200 ประเทศทั่วโลก
ทั้งนี้ สิ่งที่เราจะต้องติดตามกัน คือ ที่ประชุม COP28 คงจะส่งผลให้ภาคธุรกิจไทยต้องปรับตัวมากขึ้น ทั้งจากกฎระเบียบ และมาตรการสากลที่จะมีความชัดเจน เข้มงวด และครอบคลุมมากขึ้น ทั้งจากมิติของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะเริ่มครอบคลุมถึงก๊าซมีเทน รวมถึงผลกระทบด้านสังคม ความมั่นคงทางอาหาร และสิทธิมนุษยชน เพิ่มเติมจากแค่มิติด้านสิ่งแวดล้อม
โดยขยายขอบเขตความครอบคลุมการดำเนินการด้านดังกล่าวทั้ง supply chain ที่จะทำให้เกิดการส่งผ่านข้อบังคับ หรือการดำเนินการในด้านดังกล่าวจากประเทศพัฒนาแล้วไปยังประเทศกำลังพัฒนา และจากบริษัทขนาดใหญ่ไปสู่บริษัทขนาดเล็ก รวมถึง SMEs ได้ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีกฎระเบียบ หรือมาตรการภายในประเทศที่บังคับใช้ หรือกำหนดบทลงโทษก็ตาม ซึ่งคงจะเป็นความเสี่ยงแก่ภาคธุรกิจในทุกระดับให้ต้องเร่งปรับตัวต่อบริบทโลกให้ทัน
ประเด็นหลักๆ ที่ต้องติดตามจากเวทีการประชุม COP28
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคาดว่า สำหรับประเทศไทยในฐานะเป็นประเทศภาคี จะมีการนำผลการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 2 (TCAC 2023) ไปนำเสนอ รวมถึงมีประเด็นสำคัญที่คาดว่าจะหยิบยกมาเจรจาในที่ประชุม COP28 ได้แก่
ทั้งนี้ ในด้านการดำเนินการเพื่อลดผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) คาดว่ารัฐบาลไทยจะนำผลการผลักดันแผนการดำเนินการ ระเบียบ และกฎหมายที่สำคัญ ที่ได้บังคับใช้แล้วและที่เตรียมดำเนินการเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ด้านการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย