“กระเป๋าหรู” มีมูลค่าเพิ่มขึ้นและทำผลงานได้ดีกว่าของสะสมประเภทอื่นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนได้รับการพิจารณาว่าเป็นหมวดหมู่การลงทุนที่มีศักยภาพในสายตาของผู้บริโภคและนักวิเคราะห์ และเป็นครั้งแรกที่มูลค่าของกระเป๋าแบรนด์เนมหรูจากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Hermès, Chanel, Goyard และ Louis Vuitton เพิ่มขึ้นโดยรวม
กระเป๋าถือเป็นสินทรัพย์สะสมที่มีความผันผวนน้อยที่สุดประเภทหนึ่ง และให้ความคุ้มค่าด้านความเสี่ยงเมื่อเทียบกับผลตอบแทน นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องมือที่ป้องกันเงินเฟ้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระเป๋าหรูได้รับความสนใจมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์สะสมที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง Hermès, Chanel, Goyard และ Louis Vuitton
รายงานจากแพลตฟอร์มขายต่อสินค้าหรูอย่าง Rebag ระบุว่า มูลค่าของกระเป๋าหรูโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของการมองกระเป๋าแบรนด์เนมเป็นสินทรัพย์แทนที่จะเป็นเพียงเครื่องประดับ
นักวิเคราะห์ของ Rebag ชี้ให้เห็นว่า "แนวโน้มเหล่านี้บ่งชี้ถึงโอกาสการลงทุนที่น่าตื่นเต้น ทั้งในกลุ่มแบรนด์ที่มีประวัติยาวนานและแบรนด์ที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า" นอกจากนี้ ยังมีการเปรียบเทียบว่ากระเป๋าถือเป็นสินทรัพย์สะสมที่มีความผันผวนน้อย และมีประสิทธิภาพในการป้องกันเงินเฟ้อ”
เมื่อพูดถึงการลงทุนในสินทรัพย์สะสม กระเป๋าหรูมักถูกนำมาเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น เช่น นาฬิกาหรู ไวน์ หรือศิลปะ ซึ่งเป็นตลาดที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนระดับสูง
จากการศึกษาของ Baghunter พบว่า กระเป๋า Hermès Birkin มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 14.2% ระหว่างปี 1980-2015 ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนี S&P 500 ที่ประมาณ 10%
แม้ว่ากระเป๋า Birkin จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี และมีราคาขายปลีกเริ่มต้นที่ 9,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 328,000 บาท) แต่สามารถขายต่อได้ในราคา 30,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,093,000 บาท) หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับขนาด สี และสภาพของกระเป๋า แต่ต้องไม่ลืมว่าตลาดของสินทรัพย์สะสมเหล่านี้ไม่ได้มีสภาพคล่องสูงเหมือนหุ้นหรือทองคำ
อย่างไรก็ตาม การที่กระเป๋าหรูมีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลกระทบต่อผู้หญิง Jasmine Tucker รองประธานฝ่ายวิจัยของศูนย์กฎหมายสตรีแห่งชาติของสหรัฐฯ ระบุว่า "เพื่อให้ดูเหมาะสมกับสถานะของตนเอง ผู้หญิงจำเป็นต้องแต่งกายให้ดูดี ซึ่งค่าใช้จ่ายด้านภาพลักษณ์เหล่านี้สูงกว่าของผู้ชาย และพวกเธอต้องทำสิ่งนี้ในขณะที่ได้รับค่าจ้างน้อยกว่า"
ในแง่ของการลงทุน มีกระเป๋าหรูเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง จากการศึกษาของ Rebag พบว่า กระเป๋าที่สามารถรักษามูลค่าไว้ได้ที่ระดับ 90% หรือสูงกว่านั้น มีเพียง Hermès Birkin และกระเป๋าดีไซเนอร์ชั้นนำบางรุ่นเท่านั้น
แม้จะมีตัวเลขที่น่าสนใจ แต่การลงทุนในกระเป๋าหรูยังคงมีความเสี่ยงหลายด้าน เช่น
มุมมองจากนักวิเคราะห์การเงินชี้ให้เห็นว่า แม้กระเป๋าหรูจะเป็นสินทรัพย์สะสมที่มีศักยภาพ แต่ก็ไม่ควรถูกมองเป็น "การลงทุนหลัก" Carolyn McClanahan นักวางแผนการเงินและผู้ก่อตั้ง Life Planning Partners กล่าวว่า "ฉันรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นการซื้อสินค้าถูกนำเสนอว่าเป็นการลงทุน... ถ้าคุณมีกระเป๋าที่รู้ว่าคุณจะใช้ไปตลอด อาจเรียกได้ว่าเป็นการซื้อที่ฉลาด แต่คุณก็ยังต้องแน่ใจว่าคุณใช้จ่ายอย่างเหมาะสม และยังมีแผนการเงินเพื่ออนาคต"
นอกจากนี้ นักลงทุนมืออาชีพมักเน้นว่าการลงทุนในสินทรัพย์สะสมควรเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนโดยรวม ไม่ควรเป็นสินทรัพย์หลัก เนื่องจากสินทรัพย์ประเภทนี้มีข้อจำกัดด้านสภาพคล่องและความไม่แน่นอนของตลาด
เช่น ในปี 2021 กระเป๋า Hermès Himalaya Birkin ถูกขายที่ Sotheby’s ในราคากว่า 500,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 18 ล้านบาท) ซึ่งเป็นราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับกระเป๋าใบเดียว อย่างไรก็ตาม ก็มีกรณีที่นักลงทุนขาดทุนจากกระเป๋าที่ซื้อมาแต่กลับขายไม่ได้ตามราคาที่คาดหวัง เนื่องจากกระแสความนิยมเปลี่ยนไป หรือสภาพของกระเป๋าไม่ดีพอที่จะดึงดูดผู้ซื้อในตลาดรอง
ปัจจัยที่ควรพิจารณา ได้แก่
การลงทุนในกระเป๋าหรูอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สิน สำหรับบางคน กระเป๋าหรูอาจเป็นมากกว่าการลงทุนทางการเงิน แต่เป็นสัญลักษณ์ของรสนิยมและสถานะทางสังคม แต่สำหรับผู้ที่มองหาผลกำไรจริงจัง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดและเลือกแบรนด์ที่มีศักยภาพในการเติบโตจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างมูลค่าระยะยาว เพราะการลงทุนที่ดีคือการกระจายความเสี่ยง และไม่ฝากเงินทั้งหมดไว้กับสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งเพียงอย่างเดียว