จากนักร้องเบอร์ต้นของโลก ผู้คว้า Grammy Awards มาครองได้มากถึง 9 รางวัล และมีเพลงติดชาร์ต Billboard ในทุก ๆ อัลบั้ม กับดีว่าแห่งวงการเพลงอย่าง "Rihanna" ที่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง "Fenty Beauty" แบรนด์ชุดชั้นใน "Savage X Fenty" ตลอดจนแบรนด์สกินแคร์ "Fenty Skin" จนสามารถทำเงินได้มหาศาล เทียบขั้นได้กับมหาเศรษฐีในวงการเทค เพราะปัจจุบันนี้ ทรัพย์สินกว่า 90% ของแม่ Rihanna นั้นมาจากการเป็นแม่ค้าเจ้าของแบรนด์นั่นเอง
เมื่อไม่นานมานี้ มีเรื่องให้แฟนเพลงของตัวแม่ ดีว่าแห่งวงการอย่าง “Rihanna” ได้ตื่นเต้น หลังจากมีประกาศออกมาว่า Rihanna กำลังอยู่ในช่วงทำเพลงใหม่ และพร้อมจะออกอัลบั้มใหม่เร็ว ๆ นี้ ในชื่อว่า “R9” หลังจากปล่อยอัลบั้มล่าสุดไปตั้งแต่ปี 2016 แล้ว
เส้นทางของนักร้องสาว Rihanna ได้ผันเปลี่ยนมาเป็นผู้ประกอบการอย่างเต็มตัว และก็ประสบความสำเร็จอย่างมากจาก “Fenty Beauty” แบรนด์เครื่องสำอาง และ “Savage X Fenty” แบรนด์ชุดชั้นในผู้หญิง ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ก็ได้สร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้กับเจ้าตัว จนติดลิสต์มหาเศรษฐีของ Forbes ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีมูลค่าเท่า ๆ กับ Sam Altman มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI เจ้าของ ChatGPT เลยทีเดียว
แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วยหรือเพราะความโด่งดังจากการเป็นศิลปินเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะแนวคิดการทำธุรกิจ ที่เน้นการจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่อื่น ๆ จนประสบความสำเร็จ ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปทำความรู้จักกับผู้ประกอบการอย่าง Rihanna ที่แม้จะหายจากวงการเพลงไปอย่างยาวนาน แต่ก็ยังสามารถสร้างความมั่งคั่งได้มหาศาลจากการทำธุรกิจของตัวเอง
ก่อนที่จะก้าวเข้ามาเจิดจรัสในวงการเพลง Rihanna หรือชื่อเต็ม “Robyn Rihanna Fenty” เกิดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ปี 1988 ในประเทศบาร์เบโดส (Barbados) ซึ่งเป็นเกาะบริเวณตะวันออกของแถบแคริบเบียน และเป็นประเทศเอกราชที่อยู่ในเครือจักรภพอังกฤษ
Rihanna เป็นพี่สาวคนโต ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 3 คน เธอมีช่วงชีวิตในวัยเด็กที่ไม่ราบรื่นนัก ด้วยการเติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง คุณแม่ของเธอ Monica Braithwaite ที่เป็นนักบัญชี และคุณพ่อ Ronald Fenty ทำงานเป็นหัวหน้าคลังสินค้า ต้องหย่าร้างแยกทางกัน หลังจากที่คุณพ่อ Ronald มีปัญหาเรื่องยาเสพติดและชอบใช้ความรุนแรง ตอนที่ Rihanna มีอายุเพียง 14 ปี
แม้จะต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความตึงเครียดในครอบครัว แต่ Rihanna ก็เริ่มได้สัมผัสโลกของการทำธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยการช่วยพ่อขายเสื้อผ้าตามแผงลอยริมถนนในเมืองบริดจ์ทาวน์ แม้งานนี้จะเป็นผลจากความจำเป็นทางเศรษฐกิจ แต่ประสบการณ์ดังกล่าวก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอได้เรียนรู้ทักษะการขายที่ต่อมาจะเป็นทักษะที่มีผลอย่างมากต่อเธอในการทำธุรกิจของตัวเอง
นอกจากนี้ แม้จะเผชิญกับปัญหาครอบครัวตั้งแต่ยังเล็ก แต่ Rihanna ก็หาทางหลีกหนีจากความทุกข์ด้วยเสียงเพลง ซึ่งเธอมีความหลงใหลในดนตรีเรกเก้และอาร์แอนด์บีแบบอเมริกัน และเริ่มร้องเพลงตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น จนกระทั่งชนะการประกวดร้องเพลงในโรงเรียนด้วยบทเพลงของ Mariah Carey ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางดนตรี
Rihanna ยังมีความกล้าแสดงออกตั้งแต่วัยเรียน โดยเธอเคยรวมตัวกับเพื่อนอีกสองคนตั้งวงเกิร์ลกรุ๊ปเล็ก ๆ ในโรงเรียนเพื่อหนีจากปัญหาในบ้าน กระทั่งในปี 2003 โอกาสก็มาถึง เมื่อเธออายุเพียง 15 ปี Rihanna ก็ได้รับโอกาสทองจาก Evan Rogers โปรดิวเซอร์ชาวอเมริกันที่มาพักร้อนที่บาร์เบโดส และได้ไปเข้าร่วมชมโชว์ของวงเกิร์ลกรุ๊ป และรู้สึกทึ่งทันทีเมื่อเห็น Rihanna เข้ามาออดิชัน
“ตอน Rihanna เดินเข้ามาในห้อง มันเหมือนกับว่าเด็กอีกสองคนหายไปเลย” Rogers กล่าว แม้ว่าต่อมา Rihanna จะเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเสียงของเธอจะทำให้เธอสำเร็จมาถึงจุดนี้ เพราะ “แม่เคยบอกว่า ฉันมีเสียงร้องแบบ Annoying little husky man voice หรือเสียงแหบ ๆ น่ารำคาญเหมือนผู้ชายเสียงเล็ก” Rihanna กล่าว
ด้วยความสามารถและเสน่ห์ของ Rihanna ทำให้ Rogers ตัดสินใจช่วยผลักดันเธอสู่เวทีสากล และเพียงหนึ่งปีต่อมา ในวัย 16 ปี Rihanna ก็ย้ายไปอยู่กับครอบครัวของ Rogers ที่สหรัฐฯ เพื่ออัดเสียงเดโมเทปสำหรับเสนอค่ายเพลงระดับโลก โดย Rihanna เล่าถึงก้าวที่เปลี่ยนชีวิตว่า “ตอนที่ฉันจากบาร์เบโดส ฉันไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ฉันรู้ว่าต้องทำในสิ่งที่ควรทำ แม้มันจะหมายถึงการย้ายไปอยู่ที่อเมริกาก็ตาม”
เดโมของ Rihanna ที่ผลิตโดย Evan Rogers ถูกส่งไปยังหลายค่ายเพลงในอเมริกา กระทั่งในปี 2005 เพียงหนึ่งปีหลังจากย้ายถิ่นฐานมาสหรัฐอเมริกา Rihanna ก็ได้เข้าพบกับซีอีโอของ Def Jam Records ซึ่งก็คือ Shawn Carter หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “Jay-Z” ตำนานแห่งวงการฮิปฮอป ซึ่ง Rihanna วัย 17 ปีในตอนนั้นก็สามารถสร้างความประทับใจให้กับ Jay-Z อย่างมากจนถึงขั้นได้เซ็นสัญญาทันทีในวันนั้น และเป็นที่มาของดีล 6 อัลบั้มที่ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของจักรวาล Rihanna
หลังจากนั้นไม่นาน Rihanna ก็ปล่อยซิงเกิลแรกในชีวิต “Pon de Replay” ในเดือนพฤษภาคม ปี 2005 เพลงแนวแคริบเบียนแดนซ์ฮอลล์ที่ฟังแล้วติดหูทันที กลายเป็นเพลงฮิตประจำฤดูร้อนและทะยานขึ้นอันดับ 2 บนชาร์ต Billboard Hot 100 และบทเพลงนี้ก็พาเด็กสาวจากบาร์เบโดสขึ้นแท่นศิลปินหน้าใหม่ที่ทุกคนจับตา
ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน Rihanna ก็ได้ออกอัลบั้มเต็มชุดแรก “Music of the Sun” ที่ผสมผสานแนวเรกเก้กับอาร์แอนด์บีได้อย่างลงตัว ส่งผลให้อัลบั้มนี้ติด Top 10 บนชาร์ต Billboard 200 และมียอดขายทะลุ 2 ล้านชุดทั่วโลก
ต่อมาในปี 2006 ก็ได้ส่งอัลบั้มที่สองอย่าง “A Girl Like Me” ออกมา พร้อมเพลงฮิตอย่าง “Unfaithful” และ “SOS” จนกลายเป็นเพลงอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 เพลงแรกในชีวิตของเธอ
แต่สิ่งที่ทำให้ชื่อของ Rihanna ถูกจารึกอย่างแท้จริง คือ ในช่วงปี 2007 กับอัลบั้มชุดที่ 3 ในชื่อ “Good Girl Gone Bad” ที่พลิกโฉมเป็นป๊อปไอคอน Rihanna กับลุคใหม่ด้วยทรงผมสั้นสุดเฉียบ และภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน
ซิงเกิลเปิดตัวจากอัลบั้มนี้คือ “Umbrella” ที่ได้ Jay-Z มาร่วมแร็ป เพลงนี้ไม่เพียงแต่ขึ้นอันดับ 1 ในหลายประเทศ แต่ยังครองแชมป์ Billboard Hot 100 ยาวนานถึง 7 สัปดาห์ และกลายเป็นเพลงสัญลักษณ์ของยุคนั้น จนทำให้ “Umbrella” พา Rihanna ไปคว้ารางวัลแกรมมี่ครั้งแรก ในสาขา Best Rap/Sung Collaboration และตอกย้ำว่าเธอคือซูเปอร์สตาร์ระดับ A-list ของวงการเพลง
อัลบั้ม Good Girl Gone Bad ขายได้หลายล้านชุดทั่วโลก พร้อมส่งเพลงฮิตตามมาอีกมากมาย เช่น “Don’t Stop the Music” และ “Disturbia” จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชื่อ Rihanna ติดอันดับแถวหน้าของวงการป๊อประดับโลกอย่างแท้จริง
ซึ่งในช่วงระหว่างปี 2005 ถึง 2016 ทาง Rihanna ได้มีการปล่อยอัลบั้มออกมาทั้งหมด 8 ชุด และสามารถสร้างสถิติ 14 เพลงที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำให้เธอขึ้นแท่นหนึ่งในศิลปินที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ดนตรีป๊อป
และตลอดเส้นทางสายดนตรี Rihanna คว้ารางวัลมาแล้วมากมาย ทั้ง 9 รางวัลแกรมมี่ (Grammy Awards) จากการเข้าชิงกว่า 30 ครั้ง ได้รับ American Music Awards อีก 13 รางวัล ตลอดจนได้ Billboard Music Awards ไปอีก 12 รางวัล และรางวัลอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ ในปี 2014 เธอยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติอย่าง CFDA Fashion Icon Award จากสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเองและการหลอมรวมแฟชั่นเข้ากับดนตรีอย่างลงตัว
ในปี 2016 เป็นปีล่าสุดที่ Rihanna ได้ปล่อยอัลบั้มออกมาในชื่อ “Anti” ซึ่งเป็นผลงานชุดที่ 8 และถือเป็นจุดพีกในการเป็นศิลปิน อัลบั้มนี้มีเนื้อหาและการใช้เสียงที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการด้านดนตรีที่ลึกซึ้งและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เพลงเด่นอย่าง “Work” ที่ได้ Drake มาร่วมร้อง กลายเป็นเพลงฮิตที่ขึ้นอันดับ 1 ทั่วโลก
หลังจากนั้น Rihanna ก็ได้หยุดออกอัลบั้มใหม่ และหันไปโฟกัสกับธุรกิจเต็มตัว แม้จะไม่มีอัลบั้มใหม่ระหว่างปี 2016-2024 ออกมา แต่เธอก็ยังปรากฏตัวในแวดวงดนตรีอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมงานในเพลงดัง เช่น “Wild Thoughts” ของ DJ Khaled ในปี 2017 และในปี 2022 เธอกลับมาอีกครั้งกับเพลงประกอบภาพยนตร์ Black Panther: Wakanda Forever ในเพลง “Lift Me Up” ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Academy Award) เป็นครั้งแรกของเธอในสาขา Best Original Song อีกด้วย
อีกทั้ง ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ที่ Rihanna ได้กลับมาสร้างความฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการขึ้นเวทีใหญ่ในรอบ 5 ปี ในฐานะศิลปินหลักของโชว์ช่วงพักครึ่งของ “Super Bowl LVII” โดยมีผู้ชมมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก เธอใช้เวทีนี้โชว์เพลงฮิตตลอดกาล และยังเปิดเผยข่าวดีอีกด้วยว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง จนกลายเป็นโมเมนต์ไวรัลที่ทั่วโลกพูดถึงอีกด้วย
แม้จะครองชาร์ตเพลงทั่วโลกในช่วงกลางยุค 2010s แต่ Rihanna ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่เวทีดนตรี เธอเริ่มวางรากฐานสำหรับอนาคตในฐานะนักธุรกิจหญิงอย่างจริงจัง ด้วยเซนส์ด้านแฟชั่นที่ล้ำหน้า และความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง Rihanna ขยับเข้าสู่วงการธุรกิจอย่างเป็นทางการ
และก่อนที่จะก่อตั้งแบรนด์ใหญ่ของตัวเอง Rihanna เริ่มต้นด้วยน้ำหอม โดยเปิดตัวกลิ่นแรกชื่อ Reb’l Fleur ในปี 2011 ซึ่งกลายเป็นสินค้าขายดีอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เธอยังรับงานพรีเซนเตอร์ให้ทั้งแบรนด์เครื่องสำอางและแฟชั่นระดับโลก รวมถึงร่วมเป็น Creative Director ให้กับ Puma ในปี 2014 โดยดูแลไลน์เสื้อผ้าผู้หญิง และออกแบบรองเท้ารุ่นดัง อย่าง Fenty x Puma Creeper ซึ่งได้รับความนิยมถล่มทลาย
ในปี 2015 Rihanna ยังสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งในฐานะหญิงผิวสีคนแรกที่ได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Dior ตอกย้ำว่าอิทธิพลของเธอไม่ได้จำกัดอยู่แค่ดนตรี แต่กระจายสู่โลกแฟชั่นอย่างมั่นคง
จนในปี 2017 ที่ Rihanna ได้ทำการเปิดตัวแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองอย่างจริงจังในชื่อ “Fenty Beauty” ด้วยการร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่ฝรั่งเศสอย่าง LVMH โดยวางจุดขายเรื่องความหลากหลายและการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยรองพื้นเปิดตัวถึง 40 เฉดสี เพื่อรองรับทุกสีผิว
แนวคิดนี้กลายเป็น “Fenty Effect” ที่เขย่าวงการเครื่องสำอางแบบเดิม ๆ และบังคับให้หลายแบรนด์ต้องเพิ่มเฉดสีตาม จนทำให้ Rihanna กลายเป็นผู้นำเทรนด์ไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่รวมถึงมาตรฐานของความเท่าเทียมทางความงามด้วย
Fenty Beauty ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรก รายได้ปีแรกทะลุ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และภายในเดือนแรกของการเปิดตัวก็สร้างมูลค่าสื่อไปได้ถึง 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าหลายชิ้นขายหมดในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งธุรกิจนี้ Rihanna ถือหุ้นอยู่ 50% ทำให้เธอกลายเป็นเศรษฐีใหม่ในพริบตา
ต่อมาในปี 2018 ที่ Rihanna ได้แตกไลน์ใหม่ในตลาดชุดชั้นใน เปิดแบรนด์ “Savage X Fenty” ร่วมกับ TechStyle Fashion Group และได้รับการสนับสนุนจากกองทุนในเครือ LVMH เช่นกัน แบรนด์นี้ชูจุดแข็งด้าน Body Positivity และไซซ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่คัพ A ถึง H และไซซ์ XS ถึง 4X
Savage X Fenty สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาดทันที ด้วยการใช้โมเดลที่หลากหลาย ทั้งรูปร่าง สีผิว และเพศ พร้อมจัดแฟชั่นโชว์สุดอลังการผสานดนตรี การเต้น และศิลปินดัง ผ่านทาง Amazon Prime Video กลายเป็นงานโชว์ที่โดนใจคนยุคใหม่ และได้รับคำชมว่าเป็น “Victoria’s Secret เวอร์ชันใหม่ที่ดีกว่าเดิม”
ในด้านยอดขายก็เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยที่รายได้ปีแรกโตกว่า 200% ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี แบรนด์ถูกประเมินมูลค่าไว้ที่ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Rihanna ถือหุ้นราว 30% คิดเป็นมูลค่ากว่า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2022
และในปี 2023 Rihanna ส่งไม้ต่อให้ Hillary Super อดีตผู้บริหาร Anthropologie มาเป็นซีอีโอ ส่วนตัวเธอขึ้นเป็น Executive Chair เพื่อโฟกัสด้านวิสัยทัศน์และภาพรวมกลยุทธ์ พร้อมผลักดันแบรนด์เข้าสู่โมเดล Omni-Channel เปิดร้านในออนไลน์ และตั้งหน้าร้านในหลายเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ และมีแผนขยายสู่ต่างประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้ ในปี 2019 ทาง Rihanna ก็ได้เปิดตัวแบรนด์แฟชั่นระดับลักซ์ชูรีใหม่ภายใต้ชื่อ “Fenty” โดยร่วมมือกับ LVMH และยังถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี ที่ LVMH เปิดแบรนด์ใหม่ และเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงผิวสีได้เป็นผู้นำแบรนด์แฟชั่นในเครือ
Fenty Fashion เปิดตัวด้วยไอเท็มแฟชั่นทันสมัยอย่างแจ็กเก็ตโอเวอร์ไซซ์ คอร์เซ็ตยีนส์ และแว่นตาทรงโดดเด่น แต่ต้องเผชิญความท้าทายจากการระบาดของโควิด-19 และความไม่ชัดเจนของกลุ่มลูกค้า ทำให้ LVMH และ Rihanna ตัดสินใจระงับแบรนด์ไว้ชั่วคราวในปี 2021 เพื่อโฟกัสกับธุรกิจที่ทำกำไรได้มากกว่าอย่าง Fenty Beauty และ Savage X Fenty
และไม่หยุดเพียงแค่นั้น เพราะต่อมาในปี 2020 Rihanna ขยายพอร์ตเข้าสู่ธุรกิจสกินแคร์ เปิดตัว “Fenty Skin” ร่วมกับ Kendo บริษัทลูกของ LVMH เช่นกัน โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้ส่วนผสมแบบ Vegan และเหมาะกับทุกเพศทุกสีผิว
ไลน์สกินแคร์เปิดตัวด้วยผลิตภัณฑ์ 3 ชิ้นหลัก และขายหมดเกลี้ยงทันทีหลังเปิดตัว ก่อนขยายไลน์เพิ่มเติมอย่างไนต์ครีม บอดี้บัตเตอร์ และอื่น ๆ ซึ่งสื่อถึงการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ด้านความงามภายใต้แบรนด์ Fenty ให้แข็งแรงมากขึ้นนั่นเอง
ในปี 2021 ทาง Forbes ก็ได้ประกาศให้ Rihanna เป็นมหาเศรษฐี โดยมีทรัพย์สินรวมประมาณ 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนั้น และยังกลายเป็นนักร้องหญิงที่รวยที่สุดในโลก และเป็นหญิงอเมริกันผิวสีที่รวยที่สุดอันดับ 2 รองจาก Oprah Winfrey
ที่น่าสนใจคือ รายได้ของ Rihanna กว่า 90% ไม่ได้มาจากการขายเพลงหรืองานแสดง แต่มาจากการถือหุ้นใน Fenty Beauty และ Savage X Fenty โดยเฉพาะ Fenty Beauty ที่มีการประเมินมูลค่าสูงถึง 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเธอถืออยู่ครึ่งหนึ่ง และคาดว่าหากเธอพา Savage X Fenty ที่เธอถือหุ้นอยู่ 30% ไป IPO ได้มูลค่าบริษัทนี้จะแตะ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว ซึ่งสองบริษัทนี้ก็มีมูลค่าเทียบเท่ากับบริษัทเทคหลายแห่งใน Silicon Valley เลยทีเดียว
และในปี 2022 เธอก็ได้รับตำแหน่ง Self-made Billionaire มหาเศรษฐีที่สร้างตัวได้ด้วยตัวเองที่อายุน้อยที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยวัยเพียง 34 ปี และยังติดอันดับที่ 20 ในลิสต์ Forbes: ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดของอเมริกา ในปี 2024 ด้วยทรัพย์สินรวมราว 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย
นอกจากแบรนด์หลักแล้ว Rihanna ยังเคยเปิดตัวน้ำหอมกว่า 11 กลิ่น ร่วมกับ Parlux Ltd. ซึ่งทำรายได้รวมมากกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทุนของ Tidal แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของ Jay-Z
ด้านการกุศล เธอก่อตั้งมูลนิธิ Clara Lionel Foundation (CLF) ในปี 2012 เพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาและการช่วยเหลือฉุกเฉินในชุมชนทั่วโลก โดยในปี 2020 ยังร่วมบริจาคช่วยวิกฤตโควิด-19 ด้วย
นอกจากนี้ Rihanna ยังมีผลงานในวงการภาพยนตร์ เช่น Battleship (2012), Ocean’s 8 (2018), Guava Island (2019) และให้เสียงพากย์ในแอนิเมชัน Home (2015) รวมถึงเป็น Executive Producer ในรายการแฟชั่นโชว์อย่าง Making the Cut ของ Amazon อีกด้วย
ที่มา: Business Insider, Investopedia, Biography, Bazaar, Reuters, Forbes [1][2][3], Essence, Vogue Business
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney