จากข้อมูลของ Forbes พบว่า ความมั่งคั่งรวมของเศรษฐี 50 อันดับแรกของประเทศไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 15% เป็น 173 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 แม้ว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจระดับมหภาคจะยังคงมีความท้าทายก็ตาม อีกทั้งรายงานของ Hurun Global Rich List ฉบับล่าสุดที่ตีพิมพ์ในเดือนมีนาคม 2566 ยังระบุว่า ประเทศไทยเป็นเมืองหลวงของมหาเศรษฐีแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีมหาเศรษฐี 46 ราย ซึ่งแต่ละรายมีสินทรัพย์อย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2565 โดยอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก
ดังนั้นความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น จะช่วยผลักดันให้เกิดความต้องการในการวางแผนความมั่งคั่งที่มีความซับซ้อน การลงทุนระหว่างประเทศ และการดูแลกำกับครอบครัวที่มากขึ้น
แต่กระนั้นแล้วความมั่งคั่งที่ว่านี้ มีการลงทุนในไทยกี่เปอร์เซ็นต์? กลายเป็นคำถามที่น่าชวนหาคำตอบนั่นก็เพราะว่า ความมั่งคั่งส่วนใหญ่คนไทยนอกจากจะลงทุนในประเทศแล้วนั้น ยังไหลออกไปยังประเทศข้างเคียงด้วยเช่นกัน
ทำให้ บีเอ็นพี พาริบาส์ ธนาคารชั้นนำในยุโรป และเอเชีย มีเครือข่ายในการให้บริการลูกค้ากว่า 65 ประเทศทั่วโลก ได้มองเห็นข้อได้เปรียบตรงจุดนี้ จึงได้มีการวางแผนขยายธุรกิจด้วยการเปิดตัว ธุรกิจด้านการบริหารจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ผ่าน บริษัทหลักทรัพย์บีเอ็นพี พาริบาส์ (ประเทศไทย) เพื่อสร้างประสบการณ์ Private Banking ที่ยอดเยี่ยม
อาร์โนลด์ เทลิเยร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บีเอ็นพี พาริบาส์ เวลท์ แมเนจเม้นท์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ประเทศไทยถืออีกหนึ่งประเทศที่น่าจับตา เนื่องจากเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเต็มไปด้วยผู้ประกอบการที่มีศักยภาพทั้งรายเก่า และรายใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีจำนวนของเศรษฐีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งไทยมีบุคคลที่มีสินทรัพย์สูง เป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีความต้องการซับซ้อนมากขึ้น นั่นจึงทำให้เกิดความต้องการที่จะใช้บริการด้านการบริหารจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management) สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
รวมทั้งการมองหาการกระจายการลงทุนของกลุ่มเศรษฐีหรือผู้ที่มีความมั่งคั่งในประเทศไทย มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก โดยเจเนอเรชันใหม่ๆ ที่จะเข้ามาปัจจุบันจะเห็นว่าเป็น กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งต้องการจะกระจายการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ไปยังต่างประเทศมากขึ้น แต่ขาดผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการ ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีเครือข่ายทั่วโลก
ดังนั้นด้วยความที่บีเอ็นพี พาริบาส์ ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 45 ปี ปัจจุบันมีฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ และสถาบันการเงินกว่า 500 แห่ง จึงสามารสร้างความแตกต่างด้วยแพลตฟอร์มการบริหารความมั่งคั่งระดับโลกที่ครบถ้วน ครอบคลุม และรองรับนักลงทุนทั้งรายใหญ่พิเศษ และครอบครัวมั่งคั่งที่กำลังเติบโตในประเทศไทย โดยที่แตกต่างจากผู้ให้บริการในประเทศรายอื่นๆ ที่เป็น Local Company
เนื่องจากส่วนใหญ่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศที่อยู่ในเซกเตอร์เดียวกัน ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของการให้บริการในการกระจายการลงทุน โดยเฉพาะการให้คำแนะนำ และการพาลูกค้าไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ เพราะด้วยความซับซ้อน และทางเลือกที่ไม่มากนัก จึงทำให้อาจพลาดโอกาสในการเข้าถึงจุดที่ดีที่สุดไปได้
ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่าแตกต่างกับ บีเอ็นพี พาริบาส์ เวลท์ แมเนจเม้นท์ โดยสิ้นเชิงเนื่องจากบริษัทฯ มีการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด เข้ากับการจัดการบัญชีทรัพย์สินในต่างประเทศ ดังนั้นโมเดลนี้จะทำให้ลูกค้าคนไทยเข้าถึงแพลตฟอร์มเฉพาะของบีเอ็นพี พาริบาส์ เวลท์ แมเนจเม้นท์ ที่สามารถเชื่อมโยงการลงทุนที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Asset Management, Wealth Planning ฯลฯ และเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท อาทิ หุ้น ตราสารหนี้ hedge funds ฯลฯ เพื่อที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ฮับ” แห่งใหม่ในเอเชียเกี่ยวกับธุรกิจด้าน Wealth Management นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม บีเอ็นพี พาริบาส์ เวลท์ แมเนจเม้นท์ ได้มีตั้งเป้าการขยายมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ในประเทศไทย เพิ่มเป็น 3 เท่า หรือเพิ่มขึ้นอีก 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในช่วง 3 ซึ่งลูกค้านักลงทุนรายใหญ่พิเศษที่สนใจให้ บีเอ็นพี พาริบาส์ เวลท์ แมเนจเม้นท์ บริหารจัดการความมั่งคั่ง จะต้องมีมูลค่าสินทรัพย์ขั้นต่ำ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 107.8 ล้านบาท
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney