บางครั้งคนเรามักจะคิดว่า “การตัดสินใจ” เหล่านั้นเป็นไปด้วยซึ่งเหตุผล แต่อันที่จริงแล้วการตัดสินใจทางการเงินของนักลงทุนมักจะมี “อคติ” และ “เอนเอียง” จากอารมณ์และจิตวิทยาอยู่บ่อยครั้ง “Behavioral Finance” หรือ การเงินเชิงพฤติกรรม จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทางเลือกในการอธิบายผลการศึกษาเหล่านี้ โดยใช้จิตวิทยาของนักลงทุนเข้ามาช่วยอธิบายการตัดสินใจและพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นของนักลงทุน
ในครั้งนี้ Thairath Money ได้ทำการสรุป “5 อคติการลงทุน” ที่มีส่วนทำให้นักลงทุนทำผิดพลาด และไปไม่ถึงเป้าหมาย
มนุษย์มักจะเลือกรับข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อเดิมของตัวเอง และปฏิเสธข้อมูลที่ขัดแย้ง เพื่อยืนยันความเชื่อของตัวเอง ซึ่งเป็นอคติพื้นฐานที่ทำให้นักลงทุน ลงทุนผิดพลาดบ่อยที่สุด
เช่น เมื่อต้องเลือกลงทุนระหว่างหุ้น 2 ตัว เรามักจะมีความเชื่อว่าหุ้นอีกตัวจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในอนาคต เนื่องจากตลาดชี้ว่า หุ้นตัวนี้มีศักยภาพ ดังนั้นในระหว่างพิจารณาข้อมูลเราจึงมักจะเอนเอียง และหาเหตุผลสนับสนุนหุ้นดังกล่าวมากกว่าอีกตัว พร้อมกับมองข้ามข้อมูลด้านลบที่เข้ามา ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลไม่มีประสิทธิภาพและไร้ซึ่งความหลากหลาย ซึ่งอาจทำให้เราพลาดโอกาสในการซื้อและถือครองหุ้นดีๆ นั่นเอง
ในแต่ละวันเราต้องรับข้อมูลหลายอย่าง ทำให้พื้นที่ความจำมีจำกัด มนุษย์จึงมักดึงข้อมูลล่าสุดมาใช้ในการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ มากกว่าข้อมูลในอดีต
ในแง่การลงทุน อคตินี้จะทำให้นักลงทุน ตัดสินใจลงทุนด้วยการให้น้ำหนักกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมากเกินไป จนอาจทำให้วิธีคิดหรือการตัดสินใจคลาดเคลื่อนไปจากที่ควรจะเป็น
เช่น หากช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนสามารถทำกำไรหุ้นจากเทคนิคการลงทุนรูปแบบนึง เมื่อซื้อหุ้นใหม่นักลงทุนจะเชื่อมั่นว่าเทคนิคเดิมนั้นสามารถใช้ทำกำไรได้ จนเริ่มมองภาพรวมของตลาด
Daniel Kahneman นักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ได้กล่าวไว้ว่า คนเราเกลียดการสูญเสียมากกว่าดีใจกับการได้มา ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่มักจะตอบสนองต่อเหตุการณ์ในแง่ลบมากกว่าแง่บวก
จึงไม่แปลกที่นักลงทุนจะยึดติดกับสินทรัพย์ที่ได้มา และพยายามสรรหาวิธีรักษามูลค่าให้เสียหายน้อยที่สุด เนื่องจากเราให้น้ำหนักความสนใจกับโอกาสการขาดทุนมากกว่าโอกาสทำกำไร
นำไปสู่การลงทุนต่ำกว่าความเสี่ยงที่รับได้จริง ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น
โดยเมื่อต้องเผชิญความผันผวนระยะสั้นในตลาด ที่ทำให้ราคาสินทรัพย์ลดลง นักลงทุนจะเกิดพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการขาดทุน (loss aversion) ด้วยการไม่ตัดขายสินทรัพย์นั้นและถือขาดทุนไว้นานเกินไป
หรือในทางตรงกันข้ามเลือกที่จะเทขายสินทรัพย์นั้นเร็วเกินไป เพื่อลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น และกลับมาลงทุนใหม่ ในช่วงที่ตลาดฟื้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต้องซื้อสินทรัพย์ในราคาแพงกว่าเดิม
นักจิตวิทยาอธิบายว่า ในปริมาณที่เท่ากัน คนเรามักรู้สึกว่ามูลค่าที่สูญเสียนั้นมีน้ำหนักมากกว่ามูลค่าที่เราจะได้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนเราดันทุรัง ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อไป เนื่องจากเสียดายที่ลงทุนลงแรงไปแล้ว แม้สิ่งนั้นจะไม่ตอบโจทย์เราแล้วก็ตาม
ในด้านการลงทุน อคติประเภทนี้จะทำให้นักลงทุนยึดติดกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ตัวเองลงเงินหรือลงแรงวางแผนการลงทุนอย่างหนัก แม้ว่าสินทรัพย์นั้นจะไม่ตอบโจทย์การลงทุนอีกต่อไป เนื่องจากเสียดายต้นทุนที่จมไปแล้ว และคาดหวังว่าในอนาคตสินทรัพย์นั้นจะกลับมาทำกำไร เพื่อชดเชยการขาดทุนปัจจุบัน
ดังนั้น Sunk Cost Fallacy อาจทำให้นักลงทุนเลือกจะลงทุนนานกว่าที่ควรจะเป็น และเพิ่มความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุน จนนำไปสู่ความเสียหายขนาดใหญ่ได้
อคติทางความคิดที่ทำให้คนตัดสินใจหรือมีความคิดเห็น โดยยึดถือข้อมูลหรือประสบการณ์ ที่ตัวเองมีความคุ้นเคย
นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะเลือกลงทุนในสิ่งที่ตัวเองมีความคุ้นเคย โดยใช้ความคุ้นเคยเป็นทางลัดในการตัดสินใจลงทุน มากกว่าการประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง เช่น การลงทุนหุ้นในประเทศเนื่องจากมีความคุ้นเคยกับบริษัทหรืออุตสาหกรรมในประเทศมากกว่าต่างประเทศ, การลงทุนในหุ้นของบริษัทระดับโลกที่เป็นที่รู้จักสำหรับคนทั่วไป, ลงทุนในบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ หรือบริษัทที่ซื้อสินค้าและบริการเป็นประจำ กระทั่งลงทุนในบริษัทที่คนรู้จักบอกว่าดี เป็นต้น
ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุน มีอคติต่อสิ่งที่ไม่คุ้นเคยจนโฟกัสแคบลง เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนของตัวเอง เพราะเชื่อมั่นว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงจากสิ่งที่คิดว่าตัวเองรู้จักดี นำไปสู่การประเมินความเสี่ยงที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
และนั่นเองอาจทำให้พอร์ตการลงทุน ไม่มีประสิทธิภาพในการกระจายความเสี่ยง เฉกเช่นดังที่ควรจะเป็น
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney
การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล