ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะเจ้าของและผู้พัฒนาโครงการค้าปลีกชั้นแนวหน้าของไทย และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารผู้นำระดับภูมิภาค และเป็นธนาคารพาณิชย์ ที่มีมูลค่าสินทรัพย์รวม ขนาดใหญ่อันดับ 1 ของไทย มีฐานลูกค้ารายย่อยกว่าสิบล้านรายทั่วประเทศ ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นการสร้าง Value Chain และเสริมความแข็งแกร่งให้ทั้งสององค์กร ในการเปิดให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ครอบคลุมทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรพรีเพด (Prepaid Card) กิฟต์การ์ด (Gift Card) และ บัตรกดเงินสด (Revolving Card) ภายใต้ชื่อ Bangkok Bank M
ปัจจุบันเดอะมอลล์ กรุ๊ป มีสมาชิก M card ทั้งสิ้น 5.3 ล้านราย และลูกค้ากว่า 50% ชำระผ่าน Digital Payment อาทิ บัตรเครดิต บัตรเดบิต QR Code ฯลฯ โดยเหตุผลที่ลูกค้านิยมการชำระเงินแบบ Digital เนื่องจากมีความปลอดภัย สะดวก และความคุ้มค่า ซึ่งโครงการความร่วมมือ Bangkok Bank M ในครั้งนี้ถือเป็นการตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าในการช็อปปิ้ง
โดยในช่วงแรกจะเปิดตัวบัตรเครดิตและบัตรเดบิต Bangkok Bank M Visa ซึ่งสามารถสมัครได้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2566 และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จะทยอยเปิดให้บริการในปี 2567 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้ายอดบัตรเครดิตและบัตรเดบิต Bangkok Bank M Visa จำนวน 1.5 ล้านใบภายใน 5 ปีแรก พร้อมทั้งมอบสิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง อาทิ การให้คะแนนพิเศษ สิทธิประโยชน์จากการสมัครและใช้จ่ายผ่านบัตร กิจกรรมคอนเสิร์ตเฉพาะลูกค้าที่ถือบัตร Bangkok Bank M Visa เท่านั้น
ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารได้ร่วมกับ กลุ่มเดอะมอลล์ เปิดตัว “บัตรเครดิต Bangkok Bank M Visa” ภายใต้แนวคิด “THE LEGEMDARY ตำนานนักช็อปยุคใหม่” ที่อัดแน่นด้วยสิทธิประโยชน์ทั้งการช็อปปิ้งและไลฟ์สไตล์อย่างรอบด้าน เมื่อใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าเดอะมอลล์ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ เอ็มโพเรียม (EMPORIUM) เอ็มควอเทียร์ (EMQUARTIER) เอ็มสเฟียร์ (EMSPHERE)
โดยมอบส่วนลดสำหรับการช็อปปิ้ง สูงสุดถึง 10% พร้อมรับคะแนนสะสม M Point สูงสุด 4 เท่า (จากปกติใช้จ่าย 25 บาท รับ 1 คะแนนสะสม M Point) และพิเศษใช้คะแนน 2 เท่าของยอดซื้อ เพื่อแลกคะแนนเป็นส่วนลดเพิ่มถึง 25%
ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการขยายธุรกิจรายย่อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารพยายามทำ และเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์และบริการให้ครอบคลุม ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
สำหรับภาพรวมธุรกิจธนาคารกรุงเทพ นายชาติศิริ เปิดเผยว่า ธนาคารยังคงพยายามทำตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะเพิ่มขึ้น 3% จากระดับ 2.9% ในไตรมาสก่อน แต่ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ซึ่งปัจจุบันการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น อยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว และในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดการตั้งสำรอง
นอกจากนี้ธนาคารยังคาดหวังว่า นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจะมีการลงทุนระยะยาวมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการสนับสนุน project finance ในอนาคต