หลังจากที่ “เออร์โกประกันภัย” ภายใต้ตราสัญลักษณ์ ERGO ได้เริ่มต้นเข้าสู่ตลาดประกันภัยของประเทศไทยจากการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีรายได้เป็นอันดับที่ 30 ของตลาดประกันภัยในขณะนั้น
ต่อมาในปี 2566 ได้รับโอนกิจการทั้งหมดจาก บมจ.นำสินประกันภัย ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดธุรกิจประกันภัย และได้เปลี่ยนชื่อใหม่อย่างเป็นทางการว่า “เออร์โกประกันภัย” เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา พร้อมกับเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก็ก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทประกันภัยที่มีรายได้สูงเป็นอันดับที่ 8 ของตลาดประกันวินาศภัยประเทศไทยได้ในที่สุด
ซึ่งหากว่ากันตามตรง “เออร์โกประกันภัย (ประเทศไทย)” ดำเนินธุรกิจภายใต้การบริหารงานของ เออร์โก กรุ๊ป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ มิวนิกรี กลุ่มธุรกิจผู้รับประกันภัยต่อ และรับประกันความเสี่ยงชั้นนำของโลก และ ERGO ยังเป็นหนึ่งในบริษัทผู้รับประกันภัยหลักทั้งในเยอรมัน และอีก 20 ประเทศทั่วโลก
ในช่วงปีที่ผ่านมา เออร์โกประกันภัย ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้าในประเทศไทย ทั้งประกันภัยส่วนบุคคล ประกันภัยรายย่อย ประกันภัยกลุ่มองค์กร ไปจนถึงประกันภัยเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยอุบัติเหตุ ประกันภัยทรัพย์สิน และประกันภัยทางทะเล
และในครั้งนี้ก็ถือได้ว่าครบรอบ 1 ปีของเออร์โกประกันภัยพอดิบพอดี พร้อมกับกำลังก้าวขึ้นสู่ปีที่ 2 พร้อมกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นั่นคือ การเป็นบริษัทประกันภัยที่มียอดขายสูงเป็นอันดับ 5 ของประเทศ
ดร.ทิลล์ โบห์เมอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เออร์โกประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา เออร์โกประกันภัย สามารถก้าวขึ้นสู่บริษัทประกันภัยที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 8 ของตลาดประกันภัย จากความสามารถของทีมขายที่มากด้วยประสบการณ์ และทีม customer service ที่แข็งแกร่ง รวมถึงพนักงานทุกคนของ ERGO ที่ช่วยกันผลักดันให้การเติบโต โดยมียอดขายในปี 2566 ที่ 10,425 ล้านบาท เติบโต 91.81% จากปี 2565 ที่ 5,435 ล้านบาท และปี 2564 ที่ 4,339 ล้านบาท รวมทั้งยังมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 15,012 ล้านบาท ขณะที่กำไรในปี 2566 อยู่ที่ 200 ล้านบาท
สำหรับสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรับรวม แบ่งเป็น ประกันภัยรถยนต์ 66.8%, ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 10.78%, ประกันภัยทรัพย์สิน 8.49%, ประกันสุขภาพ 7.03%, ประกันภัยขนส่งสินค้า 1.76%, ประกันอัคคีภัย 1.56%, ประกันภัยอื่นๆ 3.59%
โดยปี 2567 ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรับรวมไว้ที่ 12,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต ประมาณ 20% จากปีก่อน ซึ่งจะเน้นไปที่ขยาย พ.ร.บ.รถยนต์ และประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลเป็นหลัก เนื่องจากฐานกว้าง รวมทั้งยังสามารถทำกำไรได้ดี ขณะเดียวกันประกันภัยรถยนต์ยังเป็นพอร์ตหลักของบริษัท โดยคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของพอร์ต อีกทั้งการขยายแผนธุรกิจในครั้งนี้จะเพิ่มศักยภาพการให้บริการอย่างทั่วถึง
ที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายสาขาสำหรับจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยบนห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าชั้นนำทั่วกรุงเทพฯ ไปแล้วกว่า 40 สาขา และสาขาในต่างจังหวัดทั่วประเทศอีกกว่า 60 สาขา ซึ่งคาดว่าจะเปิดได้จนครบ 80 สาขาภายในสิ้นปี 67 โดยวางงบลงทุนขยายสาขาไว้ที่ 100 ล้านบาท
ทั้งนี้จะมีการเปิดรับพนักงานจากสินมั่นคงประกันภัยเข้ามาร่วมเสริมทัพด้านการขาย และการให้บริการ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการได้อย่างครบวงจร ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนพนักงานทั้งสิ้น 1,700 คน และมาจากสินมั่นคง 800 คน
นอกจากนี้ เป้าหมายต่อไปคือการก้าวขึ้นสู่บริษัทประกันภัยที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของประเทศ และมีแผนที่จะพัฒนาการให้บริการในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านการรับแจ้งอุบัติเหตุที่พร้อมขยายการให้บริการด้วยการกระจายพนักงานเคลมให้ถึงที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด รวมถึงจัดอบรมพนักงานศูนย์รับแจ้งเหตุเพื่อพัฒนาทักษะในการสนทนา โดยเฉพาะกับลูกค้าคู่สนทนาที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ และกำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ปัจจุบันลูกค้าของบริษัทมีจำนวนทั้งสิ้น 3 ล้านราย
“จุดแข็งสำคัญหลังจากที่ควบรวมกิจการระหว่างไทยศรี และนำสิน ที่จะช่วยขยายเครือข่ายที่เพิ่มมากขึ้น ผ่านการจำจุดแข็งของทั้งสองบริษัทมาผนวกกัน ทำให้ ERGO มีทั้ง Service และบุคลากรที่มากความสามารถ”
ส่วนการเลือกที่จะมาลงหลักปักฐานที่ประเทศไทยนั้น ดร.ทิลล์ มองว่า ตลาดประเทศไทยมีศักยภาพสูง และสามารถพัฒนาต่อได้ ดังนั้นหากเทียบกับในอาเซียนไทยเป็นตลาดประกันวินาศภัยที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ
ซึ่งตั้งแต่เข้ามาในประเทศไทยนั้นมองว่าข้อจำกัดอาจจะเป็นในเรื่องของวัฒนธรรมที่จะนำไปสู่การพิจารณาเบี้ยประกันภัย เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ราคารถ ส่วนคนยุโรปจะเน้นเรื่องประสบการณ์คนขับ ที่จะมีผลต่อการระบุเบี้ยประกัน ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาอีกมาก
“นั่นจึงทำให้แผนในระยะ 3-5 ปีนับจากนี้ ERGO จะเน้นลงทุนด้าน Digital Technology เพื่อซัพพอร์ตเครื่องมือที่ทำให้สามารถบริหารจัดการการบริการ รวมทั้งการเชื่อมต่อกับพาร์ตเนอร์ได้ดียิ่งขึ้น และนำไปสู่เป้าหมายนั่นคือ อัตราการเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี”
ติดตามข่าวสารด้านประกัน กับ Thairath Money ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance/insurance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney