ช่วงที่ผ่านมาหลายคนอาจจะเคยได้ยินเทรนด์การเก็บเงินใหม่ ๆ หรือวิธีการบริหารเงินที่เข้ากับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็น “Loud Budgeting” หรือเทรนด์อวดความประหยัดที่นำเสนอตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่าเรากำลังตั้งใจวางแผนการใช้เงินให้ประหยัดและคุ้มค่าที่สุด โดยไม่สนว่าใครจะคิดอย่างไร หรือจะเป็น “Revenge Saving” หรือการออมเงินล้างแค้นที่บรรดาวัยรุ่นในจีนตั้งเป้าหมายสุดโหดในการเก็บเงิน ไปจนถึงเทรนด์การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ที่ปรับเปลี่ยนไปตามค่านิยมและสภาพทางเศรษฐกิจ
บทความที่เกี่ยวข้อง
สำหรับปี 2025 นี้กระแสต่อต้านการจับจ่ายที่ไม่จำเป็นยังไปต่อ แม้กระแส “New Year, New You” หรือการเปลี่ยนแปลงตัวเองในปีใหม่จะไม่ค่อยนิยมเท่าแต่ก่อน แต่หนึ่งในเทรนด์ด้านการเงินส่วนบุคคลที่ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องจากคนรุ่นมิลเลนเนียลและเจนซีบนโซเชียลมีเดีย คือ “No Buy 2025” ที่บรรดาอินฟลูเอนเซอร์ต่างประเทศเข้าร่วมพร้อมกับติดแฮชแท็กยอดนิยม #Nobuy อย่างแพร่หลายใน TikTok เพื่อบอกว่า “ฉันงดซื้อ” แทนที่จะเป็นวิดีโอเปิดกล่องสินค้า รีวิวสินค้าหรูหรา หรือแชร์ไอเทมที่ "ต้องมี" อินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากให้คำมั่นว่าจะไม่ซื้อของที่ไม่จำเป็นตลอดทั้งปี
เทรนด์ "No Buy 2025" ที่ฟังดูคล้ายคลึงกับ “Loud Budgeting” ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิด Minimalist แต่เพิ่มเติมคือ แนวคิดนี้ต้องการสร้างความสมดุลระหว่างการใช้จ่ายและการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจำนวนมากจึงหันมาสนใจแนวทางนี้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของตนเองให้มีความยั่งยืนมากขึ้น หรือมากไปกว่านั้นเป้าหมาย No Buy 2025 คือ การปลดปล่อยตัวเองจากวงจรการช้อปปิ้ง ไปจนถึงการปลดหนี้
"No Buy 2025" ถูกมองเป็นผลกระทบจากพฤติกรรม “Revenge Spending” หรือการช้อปปิ้งล้างแค้นเพื่อชดเชยช่วงเวลาหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หรือเพียงแค่ต้องการควบคุมงบประมาณหลังจากการจับจ่ายช่วงเทศกาลวันหยุดที่หลายคนกลับมาให้ความสำคัญกับการบริหารการเงินและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค
"No Buy" หรือ "No Spend" ผู้เข้าร่วมจะตั้งเป้าหมายไม่ใช้จ่ายเงินนอกเหนือจากสิ่งที่จำเป็นเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือเพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงิน ท่ามกลางค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ผู้เข้าร่วมกำลังให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเงินของตนเองอย่างมีสติ การลดการซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นช่วยปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย ช่วยประหยัดเงินและปลดหนี้ได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ No Buy 2025 ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้ใช้ TikTok เริ่มต่อต้านพฤติกรรมการบริโภคเกินความจำเป็นที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมักส่งเสริม จากพลังของอัลกอริทึม โดย TikToker แต่ละคนจะกำหนดกฎเกณฑ์ของตนเองเพื่อแยกแยะว่าการซื้อสินค้าใดเป็นสิ่งจำเป็นและรายการใดที่ควรงดซื้อ จากนั้น พวกเขาจะแบ่งกฎเหล่านี้ออกเป็นสองรายการ คือ "ซื้อได้" และ "งดซื้อ" และนำไปแชร์บน TikTok
โดยสินค้าที่จำเป็น ยกตัวอย่าง อาหาร ของใช้จำเป็นในครัวเรือน ค่าเช่า และค่าสาธารณูปโภค ยังคงอยู่ในรายการ "ซื้อได้" ขณะที่สินค้าที่ไม่จำเป็นจะถูกจัดอยู่ในหมวด "งดซื้อ" สำหรับอินฟลูเอนเซอร์สายแฟชั่น บางคนเลือกที่จะงดซื้อเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด ขณะที่บางคนอนุญาตให้ตนเองซื้อสินค้าใหม่ได้เฉพาะเมื่อของเดิมชำรุดหรือไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป หรือสายบิวตี้ก็จะใช้เครื่องสำอางที่มีอยู่ให้หมดก่อนซื้อใหม่
แม้ว่าเทรนด์นี้แต่ละคนสามารถปรับให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง แต่สาระสำคัญของ "No Buy" ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือ “การเป็นผู้บริโภคที่มีสติและลดความอยากซื้อสินค้าตามกระแส” เพื่อลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุด
“No Buy” สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว อย่างไรก็ตามมีข้อควรระวัง เพราะ การลดการใช้จ่ายอย่างกะทันหันและมากเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินในภายหลัง นอกจากนี้หนึ่งในอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของความท้าทาย No Buy คือ การเข้าสังคมโดยไม่ต้องใช้เงิน แม้ว่าจะมีกิจกรรมฟรีมากมายให้เข้าร่วม แต่การเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอยู่ดี และมากไปกว่านั้นเพื่อนและคนใกล้ชิดอาจเริ่มรู้สึกเบื่อกับข้อจำกัดทางการเงินของผู้เข้าร่วม
ดังนั้นการจะ “No Buy” ให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างค่อยเป็นค่อยไป เรียนรู้ที่จะกำหนดขอบเขตและควบคุมสถานะทางการเงินของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ การหยุดใช้จ่ายทั้งหมดในทันทีอาจนำไปสู่ภาวะความรู้สึกขาดแคลนและส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยในอนาคต เช่น จาก "No Buy 2025" อาจกลายเป็น "Spending Spree 2026" ได้
สำหรับใครที่สนใจอยากจะชาเลนจ์ และไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน สิ่งแรกที่ควรทำไม่ว่าเทรนด์ใด คือ การวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายของตนเองให้ได้ โดยสังเกตว่ามีแนวโน้มใช้จ่ายเงินกับอะไร เพราะการทำความเข้าใจแรงจูงใจเบื้องหลังการใช้จ่ายจะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนนิสัยทางการเงินให้ดีขึ้นในระยะยาว
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -
การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดย ยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล