ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับบริษัทยักษ์ใหญ่หลายรายของประเทศไทยน่ะ
มี ดร.สลิ่มหัวขาวที่เคยไปขึ้นเวทีเป่านกหวีดกลางสี่แยกปทุมวัน ออกมาโชว์ความขลาดเขลา อคติ และความไม่เป็นสุภาพบุรุษของตัว ด้วยการสบประมาทคำพูดของอดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ในประเด็นที่ออกมาย้ำเตือนบ่อยๆว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาวะวิกฤติ เพราะจีดีพีเติบโต ต่ำเพียง 1.8% มาตลอดช่วง 10 ปี ว่า...เป็นเรื่องไม่จริง!
มาถึงวันนี้ ว่ากันตามความเป็นจริง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นชี้ชัดว่า จีดีพีที่โตต่ำเพียง 1.8% ไม่มีใครทนอยู่ได้ ไม่ว่าจะยากดีมีจน
เดิมเราคิดว่า คนจนกับผู้ด้อยโอกาสจะได้รับผลกระทบมากที่สุด จึงไม่มีใครให้ความสนใจกับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ว่าพวกเขาก็ได้รับผลกระทบหรือไม่
กระทั่งเกิดสภาพที่เราเรียกว่า “น้ำลด ตอผุด” ขึ้น เมื่อสภาพคล่องทางการเงินหดหาย แบงก์ไม่ให้กู้ ดอกเบี้ยแพง และสภาพเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ จนหลายบริษัทเกิดปัญหาขาดทุน
บางบริษัทถึงขั้นสร้างรายได้ปลอมๆตลอดช่วง 10 ปี เพื่อตบตานักลงทุนและตลาดหลักทรัพย์ ให้หลงไปลงทุนในหุ้นของตัว ต่อด้วยการออกมาขายหุ้นกู้
บ้างก็แอบเอาเงินไปโป๊การขาดทุนของบริษัทลูกนอกตลาด และออกหุ้นกู้ซ้ำๆมาขายผู้คน ด้วยการให้ผลตอบแทนสูงมากเพื่อปกปิดผลการดำเนินงาน
ยังมีนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงบางรายออกแคมเปญลงทุนมาเพื่อตั้งใจโกงเงินนักลงทุนรายใหญ่ๆ แล้วหนีไปกบดานอยู่ต่างประเทศ
ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์พบว่า มีบริษัทใหญ่ๆหลายแห่ง ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จจากการลงทุนในกิจการที่ไปซื้อ หรือขยายการลงทุนไว้ เพราะสภาพเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามคาด จึงต้องหันมาเอาหุ้นของตัวเองไปจำนำเพื่อเอาเงินออกมาช่วยสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ
การหาทางออกจากปัญหาด้วยวิธีนี้ อาจดูเป็นสุภาพบุรุษกว่าการไปเที่ยวหลอกต้มตุ๋นผู้คนว่า ผลการดำเนินงานมีกำไรมหาศาล เพื่อจะออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ หรือหุ้นกู้ มาขายนักลงทุนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
แต่การใช้วิธีนี้ไม่ได้มีบริษัทเดียวที่เอาหุ้นออกมาจำนำแล้วราคาหุ้นร่วงกระหน่ำจนถูกบังคับขาย
เพราะจากการตรวจสอบกลับของตลาดหลักทรัพย์พบว่า มีหุ้นมากถึง 50 บริษัท ที่เอาไปจำนำ หรือวางค้ำประกันเพื่อเอาเงินสดออกมาไม่เกิน 15% ของหุ้นทั้งหมด
นอกจากนี้ แล้วยังมี 18 บริษัทเอาหุ้นไปค้ำ 16–20%, 5 บริษัท เอาหุ้นไปค้ำ 21–40% และอีก 4 บริษัทเอาหุ้นไปจำนำ 41–50% มีเพียง 1 บริษัทที่เอาหุ้นไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเกินกว่า 50%
ทั้งหมดคือ ผลพวงของการไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยเกิดสภาวะวิกฤติจริงๆ ที่แย่กว่าคือ ไม่เชื่อแล้วยังขัดขวางความพยายามจะแก้ปัญหาด้วยมาตรการต่างๆมากมาย รวมถึงการขอให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ขอให้แบงก์พาณิชย์ปล่อยเงินกู้ ไปจนถึงพยายามหามาตรการต่างๆที่จะดึงนัก
ลงทุนให้นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ช่างน่าเสียดายและน่าเศร้าใจจริงๆ.
มิสไฟน์
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม