ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น BAY ประกาศกลยุทธ์ขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน โดยเน้นการเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมเพิ่มความแข็งแกร่งในการสร้างรายได้ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยตั้งเป้ารายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ประมาณ 20%
ส่วนแผนในการเข้าซื้อกิจการ SHB Finance ธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในประเทศเวียดนามนั้น ปัจจุบันอยู่ในระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะเข้าถือหุ้น 100% เสร็จสมบูรณ์ในช่วงกลางปี 2568 จากเดิมที่คาดว่าจะยื่นเข้าซื้อ 50% ที่คงเหลือในปี 2569
พัทธ์หทัย กุลจันทร์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจอาเซียน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น BAY เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เดินหน้าขยายธุรกิจผ่านความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค โดยมีการลงทุน 6 บริษัท ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว ทำให้มีจุดแข็งคือมีทีมงานท้องถิ่นที่เข้าใจตลาด กฎหมาย และธุรกิจเป็นอย่างดี
พร้อมกันนี้ ยังมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งของกลุ่มธนาคาร MUFG หรือ ธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ช่วยขยายและสร้างความเชื่อมโยงและความร่วมมือระหว่างภูมิภาค สำหรับทั้งลูกค้ากลุ่มธุรกิจ และลูกค้ารายย่อย จากมีธนาคารพันธมิตรครอบคลุม 9 ใน 10 ประเทศในอาเซียน
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ตั้งเป้ารับรู้ส่วนแบ่งรายได้จากต่างประเทศในปี 2568 ที่ระดับ 25% จากปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 20% โดยที่ผ่านมาเน้นไปที่การขยายธุรกิจสินเชื่อ Consumer Finance โดยเฉพาะสินเชื่อยานยนต์ ซึ่งใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยาในประเทศไทย
ทั้งนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประสบความสำเร็จในการขยายพอร์ตสินเชื่อในอาเซียน ทั้งกลุ่มลูกค้า SME และกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปัจจุบันมียอดสินเชื่อคงค้างในอาเซียนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5% ของสินเชื่อรวม รวมถึงมีส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ค่อนข้างสูง ราว 23.2%
นอกจากนี้ แผนในการเข้าซื้อกิจการ SHB Finance ธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในประเทศเวียดนามนั้น ราบรื่นและรวดเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ โดยเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กรุงศรีได้ยื่นเข้าซื้อและรับโอน 50% ที่คงเหลือจากการซื้อและรับโอนส่วนของทุนครั้งแรก
โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่ากรุงศรีจะเข้าถือหุ้น 100% ของ SHB Finance เสร็จสมบูรณ์ในช่วงกลางปี 2568 จากเดิมที่คาดว่าจะยื่นเข้าซื้อ 50% ที่คงเหลือในปี 2569 (หรือ 3 ปีหลังจากการซื้อและโอนส่วนของทุนครั้งแรก) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกรุงศรีในการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอาเซียนและความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดเวียดนาม
พัทธ์หทัย กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน อย่างในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียธุรกิจค่อนข้างเติบโตได้ดี และมีอัตราส่วนหนี้เสีย (NPL) ต่ำ ดังนั้น เป้าหมายของธนาคารคือการรักษาความเป็นผู้นำส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในธุรกิจ Home Credit Philippines และ Home Credit Indonesia
ส่วนในประเทศเวียดนาม พบว่าในปีที่ผ่านมามีการเติบโตของตลาด Consumer Finance ลดลง และมีอัตราส่วนหนี้เสียสูงขึ้น หลายบริษัทที่ให้บริการสินเชื่อประกาศผลประกอบการติดลบ ดังนั้น กลยุทธ์ของเราจึงไม่ได้เน้นการเร่งขยายธุรกิจ แต่เน้นการรักษาคุณภาพของพอร์ตโฟลิโอเป็นหลัก
เช่นเดียวกันกับในประเทศกัมพูชา ที่กำลังประสบปัญหาภาวะหนี้ครัวเรือนสูง โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ขณะที่อัตราการเติบโตของหนี้เสียสูงขึ้นในปีนี้ถึง 50% ดังนั้น จะเน้นการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น มากกว่าการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด
ส่วนในประเทศไทยนั้น มองว่าจะเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สะท้อนจากอายุเฉลี่ยประชากรสูงสุดที่ 40 ปี ดังนั้น จะทำให้โอกาสในการเติบโตของยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ลดลง ตามความต้องการสินเชื่อที่เป็นวัฏจักร ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นในอาเซียน ที่ยังมีโอกาสในการเติบโตของสินเชื่อส่วนบุคคลสูง
พัทธ์หทัย ชี้ให้เห็นว่า จากที่ผ่านมาจะเห็นว่า ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงสุด ซึ่งธนาคารกรุงศรีอยุธยามีการลงทุนใน 2 บริษัท โดยหลังจากช่วงโควิด-19 สามารถมีการเติบโตของยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ถึง 20-30% ขณะเดียวกัน เป็นประเทศที่มีความสามารถทำกำไรได้สูงที่สุดในธุรกิจอาเซียนที่เข้าไปลงทุนด้วย
สำหรับกลยุทธ์ในปี 2568 เพื่อเข้าไปเติบโตในภูมิภาคอาเซียนนั้น มุ่งให้ความสำคัญ 3 เรื่องหลัก ประกอบด้วย
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้