ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย ได้มีการหารือกรณีการออกมาตรการด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ซึ่งได้กำหนดให้การทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น ฝากเงินผ่านเครื่องรับฝากอัตโนมัติ (CDM) ต้องมีการแสดงตนของผู้ทำธุรกรรมเพื่อให้มีความปลอดภัย สร้างภูมิคุ้มกันให้กับระบบการเงิน และเป็นการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ซึ่งเดิมจะมีผลบังคับใช้วันที่ 15 พ.ย.นั้น หลังจากพิจารณาแล้ว ทั้ง 3 หน่วยงานเห็นว่าควรมีการปรับแนวทางการยืนยันตัวตน
โดยจากแนวทางเดิมที่กำหนดให้ผู้ทำธุรกรรมต้องแสดงตนโดยใช้บัตรเดบิต บัตรเครดิต หรือบัตรเอทีเอ็ม แนวทางเดียว ซึ่งมีข้อเรียกร้องว่า จะมีประชาชนบางส่วนไม่สะดวก ดังนั้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ไม่มีบัตรดังกล่าวให้ทำรายการฝากเงินที่เครื่องรับฝากเงิน CDM ได้ ปปง ธปท. และสมาคมธนาคารไทย จึงให้เพิ่มแนวทางการยืนยันตัวตนด้วยวิธีการอื่นเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการยืนยันตัวตนได้หลายรูปแบบ
ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกันทั้ง 3 หน่วยงาน โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ทุกรายได้ข้อสรุปร่วมกันว่าควรเพิ่มวิธีการยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP (One Time Password) เป็นทางเลือกให้กับประชาชน โดยผู้ฝากเงินผ่านเครื่อง CDM สามารถกรอกหมายเลขประจำตัวประชาชน และเบอร์โทรศัพท์มือถือเพื่อรับรหัส OTP แล้วจึงกรอกรหัสดังกล่าวบนหน้าจอเครื่อง CDM ก่อนทำธุรกรรมฝากเงิน ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกให้ประชาชนสามารถใช้วิธีการแสดงตัวตนจากโทรศัพท์มือถือที่มีอยู่ได้สะดวกและไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทั้งนี้ การยืนยันตัวตนด้วยวิธีการต่างๆดังกล่าวข้างต้น จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2566 เป็นต้นไป.