กกพ.ทุ่มเงิน 9,000 ล้านบาท ตรึงค่าเอฟทีงวดต่อ 3 เดือน

Personal Finance

Banking & Bond

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

กกพ.ทุ่มเงิน 9,000 ล้านบาท ตรึงค่าเอฟทีงวดต่อ 3 เดือน

Date Time: 12 ก.ค. 2562 05:20 น.

Summary

  • “กกพ.” ตัดสินใจทุ่มเงิน 9,000 ล้านบาท เคาะตรึงค่าเอฟทีงวดใหม่ (ก.ย.–ธ.ค.) คงไว้อัตราเดิม ให้เหตุผลดูแลค่าครองชีพประชาชนไม่ต้องจ่ายค่าไฟแพง ชี้ยอมแบกต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพราะหากไม่อุ้มต้องขึ้น

Latest

เช็กลิสต์แผนการเงินปี 2024 ทำอะไรสำเร็จแล้วบ้าง เพื่อตัวเราใน “อนาคต”

ลดค่าครองชีพคนไทย “ใช้ไฟแพง”

“กกพ.” ตัดสินใจทุ่มเงิน 9,000 ล้านบาท เคาะตรึงค่าเอฟทีงวดใหม่ (ก.ย.–ธ.ค.) คงไว้อัตราเดิม ให้เหตุผลดูแลค่าครองชีพประชาชนไม่ต้องจ่ายค่าไฟแพง ชี้ยอมแบกต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพราะหากไม่อุ้มต้องขึ้นค่าเอฟที 16.82 สต.ต่อหน่วย หวั่นกระทบกำลังซื้อภายในประเทศ ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยในช่วงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจการค้าโลก

น.ส.นฤภัทร อมรโฆษิต เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกพ. มีมติให้คงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) สำหรับงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.ไว้อยู่ที่ลบ 11.60 สตางค์ (สต.) ต่อหน่วยเช่นเดิม ซึ่งจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บในบิลค่าไฟฟ้าประชาชนเฉลี่ย ยังอยู่ที่ 3.6396 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เท่ากับงวดเดือน พ.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อบรรเทาปัญหาค่า ครองชีพของประชาชน

“ในการประชุม ครั้งนี้ กกพ. มีมติให้คงค่าเอฟทีต่อไปอีก 4 เดือน เนื่องจากไม่ต้องการให้ปัจจัยค่าไฟฟ้า เป็นปัจจัยที่มากระทบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ และกระทบต่อค่าครองชีพของประเทศ และอาจเป็นการซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงที่สถานการณ์การส่งออกของประเทศที่ชะลอตัวลง จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของภาวะการค้า และเศรษฐกิจโลก”

น.ส.นฤภัทร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ หากคำนวณต้นทุนต่างๆตามข้อเท็จจริงแล้ว จะมีผลต่อค่าเอฟทีในงวดนี้ให้ต้องปรับขึ้น 16.82 สต.ต่อหน่วย หรือทำให้ค่าเอฟทีจะไปอยู่ที่ 5.22 สต.ต่อหน่วย แต่เนื่องจาก กกพ.ได้มีการบริหารจัดการ เพื่อการตรึงค่าไฟในช่วงนี้ไว้ก่อน ด้วยการใช้เงินเข้ามาดูแลประมาณ 9,000 ล้านบาท โดยเงินส่วนนี้นำเงินมาจากการกำกับประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้าในปี 2561 จำนวน 3,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลืออีก 6,000 ล้านบาท โดยเป็นความร่วมมือกันของ 3 การไฟฟ้า เพื่อช่วยรับภาระต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ปรับสูงขึ้นแทนประชาชนไปชั่วคราวก่อน

ขณะเดียวกัน การตัดสินใจไม่ปรับเพิ่มค่าเอฟทีในรอบนี้ (ก.ย.-ธ.ค.) ถือเป็นการตัดสินใจบริหารจัดการ ภายใต้ปัจจัยหลักๆ ทางด้านต้นทุน ซึ่งยังเป็นขาขึ้นที่ยังคงมีความผันผวน และกดดันต่อค่าเอฟที ภายใต้สมมติฐานที่ประกอบด้วย 1.อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่คาดว่าเท่ากับ 31.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรืออ่อนค่าลงกว่าช่วงที่ประมาณ การในงวดเดือน พ.ค.-ส.ค.ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4 เดือนอยู่ที่ระดับ 31.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

2.ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค.นี้ จะเท่ากับ 64,416.20 ล้านหน่วย ซึ่งจะปรับตัวลดลงจากช่วงเดือน พ.ค.-ส.ค.จำนวน 3,966.19 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นการลดลง 5.8% ตามสภาพความต้องการไฟฟ้าที่ลดลง เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวในช่วงปลายปี

3.สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก 55.78% รองลงมาเป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ 18.91% ลิกไนต์ อยู่ที่ 8.79% และถ่านหินนำเข้า 7.93% และ 4.แนวโน้มราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า คาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติเท่ากับ 305.20 บาทต่อล้านบีทียู ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวดที่ผ่านมา 23.75 บาทต่อล้านบีทียู ราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าเอกชนอยู่ที่ 2,739.31 บาทต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 2,643.13 บาทต่อตัน เท่ากับ 96.18 บาทต่อตัน.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ