นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานสหกรุ๊ปแฟร์ครั้งที่ 23 ว่า งบประมาณรายจ่ายปี 2563 ที่มีความล่าช้าอาจกระทบการเบิกจ่ายและงบลงทุน ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้บ้าง แต่เม็ดเงินลงทุนที่จะลงสู่ระบบเศรษฐกิจ คือโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ที่มีการอนุมัติการลงทุนไปก่อนหน้านี้ ยังสามารถผลักดันให้ได้อย่างต่อเนื่อง และเบิกจ่ายให้รวดเร็วขึ้น อย่าให้โครงการหยุดชะงักซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในช่วงที่งบประมาณรายจ่ายล่าช้า “เรื่องที่โครงการขนาดใหญ่ ที่พรรคร่วมรัฐบาลดูแลไม่ใช่ปัญหา เพราะทุกพรรคก็เข้าใจเหมือนกันและเห็นด้วยที่จะช่วยผลักดันโครงการเหล่านี้ให้รวดเร็ว เพราะเป็นโครงการที่มีความสำคัญเพื่อให้เกิดความสำเร็จและเกิดประโยชน์ต่อประชาชน”
สำหรับกรณีที่มีการปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจของสำนักต่างๆถือเป็นเรื่องปกติ เพราะตั้งแต่เลือกตั้งมีการชะลอตัวลงไปจากเรื่องการเมือง แต่ขณะนี้การเมืองมีความแน่นอนมากขึ้นแล้ว เมื่อมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ นายกรัฐมนตรีก็จะสามารถขับเคลื่อนการทำงานไปได้อย่างปกติ ขอให้มีความมั่นใจ อะไรที่หยุดชะงักไปก่อนหน้านี้ก็จะสามารถดำเนินงานต่อเนื่องไปได้
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ประมาณ 3% นายสมคิดตอบว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแรงมาก ขนาดที่ผ่านมาการเมืองไม่แน่นอน ก็ยังรักษาระดับเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับนี้ได้ ดัชนีในตลาดหุ้นก็ยังปรับตัวขึ้นได้ จากการที่เม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้า แสดงว่ามีความมั่นใจในพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ไม่อย่างนั้นเม็ดเงินก็คงไหลไปที่อื่น
นายสมคิด ยังกล่าวถึงการปรับตัวของภาคเอกชนในประเทศไทยว่า ขอให้เอกชนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะจากผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ซึ่งประเมินโดยสถาบัน IMD ล่าสุดประเทศไทยได้รับการจัดอันดับดีขึ้นถึง 5 อันดับ แต่อันดับความสามารถในการแข่งขันของเอกชนเองกลับไม่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าจะต้องมีการปรับตัว เพื่อรองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในเรื่องของอินเตอร์เน็ตออฟธิงส์ (IOT) และการใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) เข้ามาจัดการข้อมูลและทำการตลาด โดยศึกษาจากพฤติกรรมเชิงลึกของผู้บริโภค ที่สำคัญขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น มีการปรับเข้าสู่อุตสาหกรรม 5.0 ซึ่งมีการใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้นในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขณะที่ภาคเอกชนของไทยอยู่ในซัพพลายเชนของญี่ปุ่นหลายอุตสาหกรรม หากปรับตัวไม่ทันเราจะเชื่อมต่อกับซัพพลายเชนญี่ปุ่นได้ยากในอนาคต
ส่วนของการขับเคลื่อนโครงการสานพลังประชารัฐและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นายสมคิดกล่าวว่า ในอนาคตอยากเห็นบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาร่วมโครงการมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยมากขึ้น และบริษัทใหญ่ก็สามารถช่วยดูแลผู้ประกอบการขนาดเล็กในลักษณะพี่ช่วยน้องซึ่งถือเป็นโครงการที่ดี.