ครม.ปลดแอกบัตรคนจนให้เบิกเป็นเงินสดไปใช้ได้ เฉพาะส่วนที่รัฐช่วยเหลือเพิ่มเติมระยะที่ 2 รายละ 100-200 บาทต่อเดือนจำนวน 3.9 ล้านคน โดยกดเบิกเงินได้ที่ตู้เอทีเอ็มแบงก์กรุงไทย ตั้งแต่ ก.ย.-ธ.ค. รวม 4 เดือน เงินเหลือสะสมไปเดือนถัดไปได้ ด้าน “สมคิด” ขอ อยากให้ใช้ซื้อสินค้าจำเป็น
พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบให้ผู้ที่ได้รับเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในระยะที่ 2 ที่ได้เงินเพิ่มรายละ 100-200 บาท จะสามารถเบิกเงินในส่วนนี้ เป็นเงินสดไปใช้จ่ายตามที่ต้องการได้ “เงินในส่วนที่ได้รับเพิ่มเติมจำนวน 100-200 บาท มีเงื่อนไขว่า ต้องผ่านการอบรมวิชาชีพตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเฉพาะในส่วนนี้ ที่สามารถเบิกเป็นเงินสดไปใช้ได้ จากเดิมต้องนำเงินไปซื้อสินค้าที่จำเป็น, เพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อการเกษตรจากร้านธงฟ้าประชารัฐหรือร้านที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ส่วนเงินช่วยเหลือระยะแรก 200-300 บาทนั้น ให้ใช้เฉพาะร้านค้าประชารัฐตามเดิม”
ทั้งนี้การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในส่วนที่รัฐบาลเพิ่มเติมให้ภายหลังหรือมาตรการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 2 นั้น สำหรับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี จะได้รับเงินเพิ่มจำนวน 200 บาทต่อเดือน จากระยะแรกได้เงินช่วยเหลือ 300 บาท รวมเป็น 500 บาท และผู้ที่รายได้สูงกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ได้เงินเพิ่มจำนวน 100 บาทต่อเดือน จากระยะแรกได้รับเงินช่วยเหลือ 200 บาท รวมเป็น 300 บาท
ด้านนางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในจำนวนผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งหมด 11.4 ล้านคน มีผู้ที่ผ่านการอบรมวิชาชีพตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตหรือโครงการในเฟส 2 ประมาณ 3.9 ล้านคน ซึ่งกลุ่มนี้ได้รับเงินเพิ่มอีกรายละ 100-200 บาท
“เม็ดเงินที่เพิ่มอีก 200 บาท และ 100 บาท สำหรับผู้ถือบัตรที่เข้าร่วมโครงการเฟส 2 นั้น มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 10 เดือน (มี.ค.-ธ.ค.) กรมบัญชีกลางแจกเงินเข้าบัตรไปแล้ว 6 เดือน (มี.ค.-ส.ค.) เป็นเงิน 5,400 ล้านบาท ยังเหลือระยะเวลาอีก 4 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ย.จนถึงเดือน ธ.ค.2561 ถึงจะสิ้นสุดโครงการ ครม.จึงมีมติให้กรมบัญชีกลางเพิ่มประสิทธิภาพโครงการดังกล่าว โดยขยายการใช้เงินของโครงการเฟส 2 จากเดิมที่ต้องซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐเท่านั้น เปลี่ยนมาเป็นการกดเงินสดได้จากเครื่องเอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทยทุกสาขา นับตั้งแต่เดือน ก.ย.”
นางสาวสุทธิรัตน์ กล่าวว่า ปัจจุบันกรมบัญชีกลางได้แยกการจ่ายเงินให้แก่ประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการฯออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นชิปการ์ดที่บรรจุอยู่ในบัตร คือ 1.วงเงินที่ใช้ในการซื้อสินค้าร้านธงฟ้า 2.วงเงินที่อยู่ในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) โดยในส่วนของเงินที่รัฐบาลจ่ายตามโครงการเฟส 2 นั้น จะเข้าสู่กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะทำให้บัตรสวัสดิการฯมีคุณสมบัติเหมือนกับบัตรเดบิตหรือบัตรเอทีเอ็ม สามารถกดถอนเงินสดจากเครื่องเอทีเอ็มได้ ดังนั้น มติ ครม.จะส่งผลให้ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการฯ จำนวน 3.9 ล้านคน สามารถกดเงินจากเครื่องเอทีเอ็มได้คนละ 200 บาทและ 100 บาทต่อเดือน โดยสามารถสะสมเงินได้ด้วย เช่น ได้รับเงินเดือนละ 200 บาท หากไม่ถอนเงินถึงเดือน ธ.ค.ก็จะมียอดเงินอยู่ในบัญชี 800 บาท เป็นต้น โดยคาดว่ากรมบัญชีกลางจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกเดือนละ 700 ล้านบาท หรือ 2,800 ล้านบาท จนสิ้นสุดโครงการ
ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การให้เบิกเงินสดเนื่องจากเดิมบางคนบอกว่ามีข้อจำกัด อยากขอเป็นเงินสดเพื่อนำไปซื้อสินค้าตามที่ต้องการ เพราะสินค้าบางอย่างไม่มีขายในร้านธงฟ้า แต่ย้ำว่าเฉพาะส่วนที่เพิ่มมา 100-200 บาทต่อเดือนเท่านั้น ที่เบิกออกมาใช้ตามต้องการได้ และขอให้เอาไปซื้อสินค้าที่จำเป็น ส่วนคนที่ยังไม่เข้ารับการอบรมวิชาชีพตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต ก็สามารถมาสมัครได้ตลอด.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง