บลจ.ไทยพาณิชย์ มอง เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง ได้รับแรงหนุนจากภาครัฐ การฟื้นตัวของเกษตรกร โครงการรถคันแรกที่ทยอยครบกำหนด แนะนักลงทุนทยอยลงทุนหุ้นไทย หากรับความเสี่ยงได้แบ่งพอร์ตลุยหุ้นต่างประเทศ
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวมขยายตัวดีขึ้นสนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงนับเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุน นำโดยเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มการจ้างงานปรับตัวดีต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสขยายตัวดีกว่าที่ประเมินจากนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ อาทิ นโยบายการปรับโครงสร้างภาษี และการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ ของภาคการเงิน เป็นต้น
ส่วนยุโรป เรายังเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายสินเชื่อของภาคการเงิน เริ่มกลับมาเป็นกลจักรเดินเครื่องเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ก็ได้รับปัจจัยบวกจากภาคการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจโลก ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ฟื้นตัวก็ส่งผลบวกต่อเนื่องถึงกำไรบริษัทของประเทศเศรษฐกิจหลัก อาทิ ประเทศจีน ซึ่งส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นเอเชีย
นายสมิทธ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเศรษฐกิจไทย ได้รับปัจจัยบวกหลักมาจากความต่อเนื่องของนโยบายการลงทุนภาครัฐ และคาดว่าจะมีการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศจากรายได้ภาคการเกษตรฟื้นตัว หรือการครบอายุ 5 ปีของโครงการรถยนต์คันแรก
ขณะที่ ภาคการส่งออกของไทยจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งโดยรวมเป็นปัจจัยบวกต่อการปรับตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นโลกโดยรวมยังได้รับปัจจัยบวก จากภาวะเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มีการปรับตัวดีขึ้น โดยตลาดหุ้นเอเชียมีความน่าสนใจลงทุนเนื่องจากราคาหุ้นยังไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว
ทั้งนี้ หากดูจากผลตอบแทนของตลาดหุ้น จะพบว่าปรับตัวขึ้นมาแล้วค่อนข้างมากในหลายๆ ตลาด ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น นักลงทุนควรจะใช้กลยุทธ์ทยอยสะสม เพื่อเฉลี่ยต้นทุนโดยหาจังหวะเพิ่มการลงทุนเมื่อตลาดหุ้นปรับฐานจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ หรือเมื่อปัจจัยเสี่ยงมีความชัดเจนมากขึ้น อาทิ เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด, การลดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือประเด็นการเมือง เป็นต้น
สำหรับ ตลาดหุ้นไทยหากคำนวณผลตอบแทนนับตั้งแต่ปี 2016 ยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงมากในตลาดภูมิภาค โดยอยู่ที่ 23.2% ขณะที่ราคาหุ้นยังใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายกลับมาลงทุนยังไม่สูง ดังนั้นนักลงทุนอาจจะพิจารณากระจายการลงทุนบางส่วนไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความผันผวน อาทิ แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ หรือ เฟด มีเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่าง 1.25 – 1.50% ในปีนี้ จากระดับ 0.75 – 1.0% ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่เฟดจะส่งสัญญาณทยอยลดวงเงินที่อัดฉีดเข้ามาในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่วิกฤติทางการเงินปี 2008 ขณะที่ปัญหาการเมืองยุโรปแม้จะมีความผ่อนคลายลงหลังการเลือกตั้งฝรั่งเศส แต่ในปีนี้ยังคงมีการเลือกตั้งในประเทศใหญ่ที่ต้องจับตา ได้แก่ เยอรมนี หรือ อิตาลี ที่อาจจะจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด
ตั้งเป้าขยายธุรกิจเจาะกลุ่ม Digital Age
นายสมิทธ์ กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของ บลจ.ไทยพาณิชย์ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการให้คำแนะนำการลงทุนครบวงจรผ่านการจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับ Customer Profile และระดับความเสี่ยงที่ลูกค้าแต่ละรายยอมรับได้ มุ่งเน้นกระบวนการเสนอขายที่เข้มข้นยิ่งขึ้น และเป้าหมายที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ การมุ่งขยายฐานลูกค้ารายใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Digital Age โดยเริ่มจากการให้ความรู้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้