นักลงทุนต้องลุ้น ครึ่งปีหลังหุ้นไทยมีอัพไซด์ หลังตัวเลขการส่งออกปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ภาครัฐกระตุ้นการใช้จ่าย เงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้น หลังนักลงทุนเริ่มผิดหวังกับนโยบายทรัมป์ แนะกระจายพอร์ตลุยหุ้น Low Beta เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มแบงก์
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด กล่าวว่า การลงทุนหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าหุ้นจะแกว่งในกรอบแคบๆ ช่วงประมาณ 1,500-1,600 จุด และซื้อขายกันที่ที่ P/E ประมาณ 14.5–15.5 เท่า เพราะอัตราการเติบโตของผลกำไรของบริษัทฯ จดทะเบียนที่ออกมายังไม่ค่อยสูงนัก
สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง บลจ.ธนชาต คาดว่าน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากตัวเลขการส่งออกเริ่มปรับตัวดีขึ้นการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ น่าจะมีนโยบายอื่นออกมาเรื่อยๆ รายได้ภาคการเกษตรก็ดูจะปรับตัวดีขึ้น ดังนั้นการปรับลดประมาณการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ น่าจะสิ้นสุดแล้ว
เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างประเทศ คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกประมาณ 2 ครั้ง หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ ยังไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายเศรษฐกิจที่วางไว้ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับอ่อนค่าลงจากที่เมื่อต้นปีหลายฝ่ายคาดว่าจะแข็งค่าขึ้น ทำให้นักลงทุนคาดหวังต่อนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลง จนกระแสเงินเริ่มไหลออกจากตลาดหุ้นอเมริกา มาเข้าตลาดหุ้นยุโรป และตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) มากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก หรือ กองทุนตราสารหนี้ แต่ไม่สามารถรับความเสี่ยงสูงๆ ได้ ควรกระจายการลงทุนในกองทุนหุ้นผันผวนต่ำให้มากขึ้น เพราะทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำและคาดว่าจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ จากภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่มีปัจจัยใหญ่ๆ เข้ามากระทบทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากคงอยู่ระดับต่ำอย่างนี้ต่อไป
ขณะเดียวกัน ผู้ลงทุนตราสารหนี้กลับต้องรับความผันผวนมากขึ้น เพราะราคาพันธบัตรไทยมีความผันผวนมากขึ้นตามราคาพันธบัตรของสหรัฐฯ ดังนั้น การกระจายลงทุนในหุ้นผันผวนต่ำบ้าง จะทำให้พอร์ตลงทุนได้รับผลกระทบน้อยลงในอนาคต โดยลักษณะเฉพาะของกองทุนประเภทผันผวนต่ำ (Low Beta Fund) ส่วนมากจะลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค (Utility) อยู่แล้ว และในปัจจุบันก็ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น
นายบุญชัย กล่าวอีกว่า จากหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกหุ้นที่ลงทุน และการมีวินัยของการลงทุน เป็นสิ่งพิสูจน์ว่า กองทุนหุ้นในกลุ่ม Low Beta สามารถทำผลการดำเนินงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเทียบกับ SET Index เห็นได้จากผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนของกองทุน T-PrimeLowBeta (2 ก.พ. 59 - 29 พ.ค. 60) อยู่ที่ 11.26% ต่อปี ส่วน SET Index 18%
ขณะที่ กองทุน T-LowBeta (29 มี.ค. 55 – 29 พ.ค. 60) สามารถสร้างผลตอบแทนให้อยู่ในระดับดีได้อย่างต่อเนื่อง ทำผลงานอยู่ที่ 14.87% ต่อปี เมื่อเทียบกับ SET Index 5% ต่อปี ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย