หุ้นไทยร่วง 3.54 ดัชนีแตะ 1,579 จุด กูรูชี้ตลอดเดือนนี้ฟันด์โฟลว์ยังมา

ปิดตลาดครึ่งวันเช้า หุ้นไทยขยับลง 3.54 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,579 จุด กูรูคาด Fund Flow ยังไหลเข้าต่อเนื่องในเดือน เม.ย.นี้ มองดัชนีเคลื่อนไหวช่วง Sideway Up แต่จำกัดที่ 1,600 – 1,605 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นกลุ่มที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 1 จะออกมาดี ให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง ท่องเที่ยว และโรงแรม

การเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำวันที่ 10 เม.ย. 60 พบว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงดลง 3.54 จุดเปลี่ยนแปลง -0.22% ดัชนีอยู่ที่ 1,579.99 จุด มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 15,144.14 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขาย 5 อันดับแรก 1.บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) 2.บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 4.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 5. บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล. ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เคยอยู่ในภาวะ Overbought ได้เริ่มย่อตัวลงมา ส่วนตลาดหุ้นฝั่งยุโรป แม้จะปรับตัวขึ้นสวนกระแสการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) แต่ก็เป็นการปรับตัวขึ้นจาก Wealth Effect และยังมีความเสี่ยงสถานการณ์จากทางการเมืองที่ยังไม่แน่นอน ดังนั้น ทิศทาง Fund Flow จึงยังไหลเข้ากลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่ Valuation ไม่แพงมาก

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 2.3% เทียบกับการปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ยของตลาดหุ้นโลกที่อยู่ประมาณ 6% จึงนับว่า SET Index ยัง Laggard อยู่มาก จึงมีโอกาสที่ Fund Flow จะไหลเข้าต่อเนื่องในเดือน เม.ย.นี้ หลังจากที่ต่างชาติซื้อสุทธิไปแล้ว 19,700 ล้านบาท ในช่วงครึ่งหลังเดือน มี.ค.

“เราคาดต่างชาติยังคงเข้าซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องอีกประมาณ 20,000 ล้านบาท และหากดูสถิติย้อนหลัง 10 ปี ในเดือน เม.ย. มีโอกาสที่ SET Index จะ Sideway Up แต่จะมี Upside จำกัดที่ 1,600 - 1,605 จุด จากผลของการประกาศ XD ในเดือน เม.ย. -  พ.ค. จึงแนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่คาดว่างบไตรมาส 1 จะออกมาดี”

ทั้งนี้ เราคาดว่ากำไรกลุ่มธนาคาร เติบโตขึ้นประมาณ 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จะได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ และปัจจัยการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเป็นปัจจัยบวกกับหุ้นกลุ่มโรงแรม

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังคงต้องเผชิญกับภาวะค่าเงินบาทแข็งค่า โดยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา โดยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้วประมาณ 3% จาก 35.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสิ้นปี 2016 เป็น 34.4 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสิ้นเดือน มี.ค.ที่ผานมา จากแรงหนุน Fund Flow ไหลเข้า

นอกจากนี้ แนะนำให้จับตาสัดส่วนการเปรียบเทียบผลตอบแทนของ S&P 500 กับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี (Earning Yield Gap) หากช่องว่างของผลตอบแทนทั้งสองลดลงจนต่ำกว่า 2% อาจส่งผลให้เกิดการปรับฐานของตลาดหุ้นโลก.