ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 12 ม.ค.60 ปิดที่ 1,568.84 จุด ลดลง 4.09 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 48,465.48 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 382.76 ล้านบาท
หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด IRPC ปิด 5.30 บาท บวก 0.10 บาท, TASCO ปิด 23.20 บาท ลบ 0.20 บาท, CPALL ปิด 61.25 บาท ลบ 0.25 บาท, IVL ปิด 35.75 บาท ลบ 0.50 บาท และ PTT ปิด 383 บาท ลบ 2 บาท
ตลาดโดยรวมปรับตัวลง จากแรงกดดันของหุ้นใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารซึ่งสัปดาห์หน้าจะเริ่มทยอยประกาศงบปี 59 ยังมีทิศทางฟื้นตัวไม่เด่นชัด ทำให้เกิดแรงขายทำกำไร
บล.ไทยพาณิชย์ มองกระแสเงินทุนต่างชาติ แรงซื้อเริ่มชะลอลง มองทิศทางตลาดคาดว่าดัชนียังมีทิศทางอ่อนตัวลง โดยให้กรอบดัชนีที่แนวรับ 1,560 จุด และแนวต้าน 1,575-1,580 จุด เพราะยังไม่มีปัจจัยบวกที่เด่นชัด ขณะที่ให้ติดตามถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯในคืนวันที่ 13 ม.ค.นี้ หากตอกย้ำว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯแข็งแกร่งขึ้น อาจทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติเปลี่ยนทิศทางไปหาตลาดสหรัฐฯมากขึ้น
แนะกลยุทธ์ลงทุนระยะสั้นให้ขายลดพอร์ต และรอซื้อช่วงอ่อนตัว หุ้นกลุ่มที่ยังน่าสนใจลงทุนคือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หลังเงินบาท
เริ่มมีทิศทางอ่อนค่า เลือก KCE และ SVI เป็น Top pick
“ธิดาศิริ ศรีสมิต” รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารทุน บลจ.กสิกรไทย มองปีนี้หุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก โดยได้คาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยปีนี้ไว้ที่ 10% และมองเป้าหมายดัชนีปลายปี 60 ที่ 1,690 จุด มีปัจจัยหนุนจากปัจจัยในประเทศเป็นหลักจากมาตรการเร่งใช้จ่ายภาครัฐและเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติมปีนี้
ขณะที่ “ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส มองผลกระทบ หลัง“โดนัลด์ ทรัมป์” ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่อย่างเป็นทางการวันที่ 20 ม.ค.นี้ ระยะสั้นเศรษฐกิจไทยเสี่ยงเผชิญภาวะเงินทุนไหลออก เพราะนโยบาย American First จะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อันจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น และอาจทำให้เงินทุนไหลออกจากไทย
ส่วนระยะกลางและยาวนั้น ให้จับตาไปที่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ “เฟด” ที่การปรับจะเน้นในช่วงครึ่งหลังของปี 60 แต่หากเฟดปรับอัตราดอกเบี้ยเร็ว จะส่งผลกระทบตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลก!!
อินเด็กซ์ 51