ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2568 การเติบโตอาจเริ่มจำกัด เมื่อมาตรการของรัฐบาลอย่าง “คุณสู้ เราช่วย” ที่ช่วยลูกหนี้กำลังเข้ามากดดันกำไรของกลุ่มธนาคารมากขึ้น ในขณะเดียวกันคุณภาพของสินทรัพย์เริ่มขยับปรับตัวดีขึ้น หลังจากลูกหนี้เริ่มกลับมาชำระหนี้ได้อีกครั้ง
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรของกลุ่มธนาคาร ปี 2568 เรามองว่าการเติบโตของกลุ่มจะค่อนข้างจำกัด โดยประเมินว่ากำไรรวมจะอยู่ที่ 221,245 ล้านบาท เติบโต 4.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะมีแรงกดดันจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่จะทยอยปรับตัวลงรับผลของการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ และเป็นผลจากมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่จะมีการลดดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้บางส่วน แลกกับการได้รับส่วนลดอัตราเงินนำส่ง FIDF และโอกาสในการลดการตั้งสำรองลงตามการชำระเงินของลูกหนี้ภายใต้มาตรการที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ แนวโน้มการเติบโตของกำไรในปี 2568 จะเริ่มจำกัดมากขึ้นจาก NIM ที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้เรามีการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของ SCB ในปี 2567 ลดลง 2.6% และปี 2568 ลดลง 1.6% เพื่อเพิ่มความระมัดระวังในประเด็นการตั้งสำรองสำหรับกลุ่มสินเชื่อบ้านที่มีความเสี่ยงมากขึ้น และปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิของ TTB ขึ้น 3.3% ในปี 2567 เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ควบคุมได้ดีกว่าคาด
คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” แนะนำ KBANK และ SCB เป็น Top Pick ของกลุ่ม แม้เราคาดการเติบโตของกำไรจะจำกัดมากขึ้นตามทิศทางของดอกเบี้ยนโยบาย แต่ผลดำเนินงานยังสามารถโตได้จากการลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานและการทยอยลดการตั้งสำรองลง อีกทั้งเป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นในเรื่องของเงินปันผล
เราจึงคงคำแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารที่ “เท่ากับตลาด” โดยหุ้น Top Pick เราแนะนำ KBANK ราคาที่เหมาะสม 175 บาท แม้กำไรสุทธิไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 จะไม่เด่น แต่คาดจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในแง่ของคุณภาพสินทรัพย์ ทำให้มีโอกาสที่บริษัทจะลดการตั้งสำรองลงมากกว่าที่ประเมินไว้ อีกทั้งคาดจะเป็นธนาคารเดียวที่ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากมาตรฐานบัญชี TFRS17 ที่จะช่วยลดผลขาดทุนจากธุรกิจประกันชีวิต (KBANK ถือหุ้นใน MTL 51%) นอกจากนี้ยังแนะนำ SCB ราคาที่เหมาะสมสำหรับเก็งผลดำเนินงานไตรมาสที่ 4 ที่คาดจะออกมาแข็งแรงกว่าธนาคารอื่น และมีจุดเด่นที่ปันผลครึ่งปีหลังของปี 2567 ที่คาดจะจ่ายหุ้นละ 7 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผล 5.9%
คาดกำไรสุทธิของกลุ่มในไตรมาสที่ 4ของปี 2567 โต 12.9% จากช่วงเดียวกัน แต่ลดลง 12% จากไตรมาสก่อนจากค่าใช้จ่ายที่เร่งตัวขึ้น เราคาดหุ้นกลุ่มธนาคารภายใต้ Coverage ของเราทั้ง 7 แห่ง จะมีกำไรสุทธิรวมในไตรมาสที่ 4 จำนวน 48,182 ล้านบาท โต 12.9% จากปีก่อน จากฐานที่ต่ำในปีก่อน เพราะมีการตั้งสำรองเพื่อรองรับความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทใหญ่ในกลุ่มรับเหมา
ขณะที่ปีนี้ยังไม่มีสัญญาณบริษัทใหญ่ที่มีปัญหาเพิ่มเติม แต่คาดกำไรสุทธิกลุ่มจะลดลง 12% จากไตรมาสก่อน เพราะเป็นช่วงที่หลายธนาคารจะตั้งค่าใช้จ่ายลงทุนพัฒนาระบบงานและเทคโนโลยีจำนวนมาก ทำให้ Cost to Income Ratio เร่งตัวขึ้นสูงกว่าไตรมาสอื่น รวมทั้งมีผลลบจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่คาดจะลดลง เพราะมีผลกระทบเชิงลบจาก NIM ที่ชะลอตัวหลังมีการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2567
อย่างไรก็ดี เราคาดปัจจัยลบดังกล่าวบางส่วนจะถูกชดเชยด้วย 1) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เร่งตัวขึ้น หนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจนายหน้าประกัน, ธุรกิจบริหารจัดการกองทุน และธุรกิจ Wealth Management ที่ขยายตัวได้ดี และ 2) คาดการตั้งสำรองโดยรวมลดลงราว 3.2% จากไตรมาสก่อน เพราะหลายธนาคารเร่งตั้งสำรองไปมากแล้ว และคาดได้อานิสงส์บวกจากมาตรการรัฐฯ ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีแรงขับเคลื่อนมากขึ้น