หลังเกิดความล่าช้าในการก่อสร้างโครงการ CFP จากปัญหาผู้รับเหมาช่วงไม่ได้รับค่าจ้างค้างจ่าย ของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TOP ทำให้กดดันราคาหุ้นร่วงอย่างหนักในปี 2567 ที่ผ่านมา โดยข้อมูล ณ วันที่ 2 มกราคม 2568 พบว่าราคาหุ้น TOP ปรับตัวลดลงมากที่สุดในกลุ่ม SET50 ในช่วง 1 ปี หรือลดลงกว่า -47.42%
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" หุ้น TOP พร้อมชี้ว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงหนักในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงจากโครงการ CFP ไปแล้ว ทั้งนี้ ยังมีจุดเด่นในเรื่องอัตราปันผลที่น่าสนใจราว 5.7-6.1% ในปี 2567-2568 ด้วย
โดยบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 36.00 บาท (เดิม 55.00 บาท) อิง P/BV ปี 2568 ใหม่ที่ 0.46 เท่า อย่างไรก็ดี คงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรในระยะสั้นของบริษัท โดยเราเชื่อว่าบริษัทจะสามารถกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ในไตรมาส 4/67 หนุนโดยการฟื้นตัวของค่าการกลั่นตลาด (market GRM) และผลขาดทุนจากสต๊อก (stock loss) ที่ลดลง
ทั้งนี้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ลง 11% เป็น 8.7 พันล้านบาท ปี 2568 ลง 15% เป็น 9.9 พันล้านบาท หลักๆ เพื่อสะท้อนสมมติฐาน 1) ราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ยที่ลดลง 2) งบลงทุน (CAPEX) ที่สูงขึ้นจากผลกระทบของโครงการ CFP และ 3) P2F margin ที่ลดลงของธุรกิจอะโรเมติกส์ (Aromatics) ตามแนวโน้มส่วนต่างราคา PX ที่ต่ำลง
สำหรับราคาหุ้นปรับตัวลง 49% และ underperform SET 56% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากผลกระทบของการก่อสร้างโครงการ CFP ที่มีความล่าช้า ทั้งนี้ ราคาปิดล่าสุดสะท้อน valuation ที่ไม่แพงโดย PBV ปี 2568 ที่ 0.36 เท่า (ประมาณ -2.7SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง)
เราเชื่อว่าราคาปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงจากโครงการ CFP ไปมากแล้ว ซึ่งอาจรวมถึงความกังวลต่อการตั้งสำรองด้อยค่าและตัดจำหน่ายของสินทรัพย์ที่เป็นไปได้ อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าบริษัทจะได้รับคำอนุมัติจากที่ประชุม EGM และสามารถดำเนินการก่อสร้างต่อไปได้ นอกจากนี้ เราเชื่อว่าราคาปัจจุบันยังสะท้อนอัตราตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจในช่วง 5.7%-6.1% ในปี 2567-2568
ส่วนภาพรวมธุรกิจระยะยาวของ TOP เรามีมุมมองเป็นลบมากขึ้น หลังจากคณะกรรมการบริษัท (BOD) มีมติเห็นชอบการเพิ่มเงินลงทุนเพิ่มเติมในโครงการพลังงานสะอาด (CFP) เป็นจำนวนประมาณ 6.30 หมื่นล้านบาท และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 1.79 หมื่นล้านบาท ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) ในวันที่ 21 ก.พ. 2568 เพื่อที่จะทำให้บริษัทสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการตั้งสำรองด้อยค่าและตัดจำหน่ายของสินทรัพย์ที่เป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นหากบริษัทไม่สามารถดำเนินโครงการ CFP ได้
ในอีกมุมหนึ่ง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ความเสี่ยงของโครงการ CFP ยังคงสูงเกินไป โดยมีมุมมองเชิงลบต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและความล่าช้าของโครงการ CFP เนื่องจากจะส่งผลให้ IRR ของโครงการลดลงประมาณ 4 ppts เหลือ 8% จาก 12% และยืดระยะเวลาคืนทุนออกไปจาก 7 ปี เป็น 11 ปี นอกจากนี้ ต้นทุนการลงทุนใหม่ที่ประมาณการล่าสุดยังไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นต้นทุนสุดท้ายของโครงการ เนื่องจากเป็นตัวเลขที่ประเมินโดยที่ปรึกษาด้านเทคนิคเท่านั้น
เรายังมีความกังวลเกี่ยวกับการรับประกันผลงานการก่อสร้างโครงการ ไม่ว่าจะดำเนินการโดยผู้รับเหมาทั่วไป (EPC) รายเดิมหรือรายใหม่ ในกรณีที่หน่วยผลิตใหม่ไม่สามารถบรรลุผลผลิตหรือคุณภาพน้ำมันตามที่เจ้าของเทคโนโลยีผลิตได้ออกแบบไว้
คงคำแนะนำ “ขาย” เนื่องจากมีปัจจัยที่ยังไม่แน่นอนสูงเกี่ยวกับโครงการ CFP พร้อมปรับลด TP ลงเป็น 27.20 บาท หรือ -2SD PBV โดยไม่รวมส่วนทุนของ TOP ในโครงการ CFP
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney