บมจ.ไทยออยล์ หรือหุ้น TOP แถลงชี้แจงเลื่อนแผนเปิดโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) คาดแล้วเสร็จปี 2571 เตรียมขอผู้ถือหุ้นเพิ่มเงินลงทุน 6.3 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมเดินหน้าโครงการหลายแนวทาง เชื่อหลังเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) จะเพิ่มกำลังการกลั่นและอัตรากำไรขั้นต้นอย่างมีนัยสำคัญ
พร้อมเปิด 2 แหล่งเงินทุนหลัก พิจารณาเงินกู้ธนาคาร-ออกหุ้นกู้ คุมหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่เกิน 1 เท่า ที่ปรึกษาการเงินอิสระ ชี้หลังเพิ่มเงินลงทุนและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น จะทำให้อัตราผลตอบแทน IRR จากโครงการดังกล่าวลดลงจากเดิมคาด 12% ยันไม่มีแผนเพิ่มทุน และไม่กระทบเงินปันผล
อย่างไรก็ตาม หากผู้รับเหมาเดิม UJV ส่งมอบงานไม่ได้ภายในกำหนดปี 2568 บริษัทมีสิทธิรักษาสิทธิตามสัญญา อาจพิจารณาเปลี่ยนผู้รับเหมารายใหม่ เพื่อเดินหน้าโครงการ และรักษาประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น
บัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า สำหรับงบประมาณลงทุนส่วนเพิ่มของโครงการ CFP ประมาณ 63,028 ล้านบาท ที่จะใช้ในการดำเนินการก่อสร้าง โดยมีแผนจัดหาเงินทุน ประกอบด้วย
เงินสดในมือปัจจุบันประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3 หมื่นล้านบาท รวมถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงานปี 2568-2570 การออกหุ้นกู้ หรือ การกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งพิจารณาหาเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เช่น การออกตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประมาณ 1,000-1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3.4-5.0 หมื่นล้านบาท
โดยบริษัทขอยืนยันว่า ไม่มีแผนการเพิ่มทุน จากการเพิ่มงบประมาณในการก่อสร้างโครงการในครั้งนี้แต่อย่างใด และการเพิ่มเงินงบประมาณก่อสร้างโครงการครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการจ่ายเงินปันผล และจะควบคุมอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ตามแผนไม่เกินระดับ 1 เท่า
วนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี TOP เปิดเผยว่า จากการประเมินของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ ถึงแม้ว่าอัตราผลตอบแทนการลงทุนระดับโครงการ (IRR) ในปัจจุบันจะลดลงจากเดิมคาดไว้ที่ 12% แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ หรือ WACC
เมื่อโครงการเสร็จจะทำให้ไทยออยล์มีผลประกอบการทางการเงิน ทั้งในส่วนรายได้ ผลกำไรและฐานะทางการเงินดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทฯและผู้ถือหุ้นในระยะยาว
บัณฑิต กล่าวอีกว่า การก่อสร้างโครงการที่ต้องเลื่อนออกไป กว่า 3 ปี หรือภายในปี 2571 เป็นผลมาจากการดำเนินงานขั้นตอนที่เหลือเป็นส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชื่อมต่อระบบของโครงการฯ ที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน ดังนั้นก่อนเปิดดำเนินการ จึงต้องทำการทดสอบระบบจนกว่าจะมั่นใจว่าสามารถเปิดดำเนินการได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ การก่อสร้างหน่วยกลั่นใหม่ ที่ทำหน้าที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนน้ำมันเตาและยางมะตอยให้เป็นน้ำมันอากาศยานและดีเซล ไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด เนื่องจากปัญหาการหยุดงานของกลุ่มบริษัทรับเหมาช่วง อันเนื่องมาจากไม่ได้รับค่าจ้างค้างจ่ายจากผู้รับเหมาหลัก UJV ทำให้การดำเนินโครงการต้องสะดุดจนต้องปรับระยะเวลาดำเนินโครงการออกไป
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ บริษัทฯ ได้พยายามหาทางแก้ไขเพื่อให้การดำเนินงานกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปให้แล้วเสร็จ คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถสรุปเวลาให้แน่ชัดขึ้นในปี 2568
อย่างไรก็ตาม หากผู้รับเหมาเดิม UJV ส่งมอบงานไม่ได้ภายในกำหนดปี 2568 ตามเงื่อนไขสัญญา บริษัทมีสิทธิรักษาสิทธิให้เป็นไปตามสัญญา โดยอาจพิจารณาเปลี่ยนผู้รับเหมารายใหม่ เพื่อเดินหน้าโครงการ และรักษาประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney