ธุรกิจจำหน่ายเครื่องสำอางเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่นักลงทุนหลายคนในตลาดหุ้นให้ความสนใจ ด้วยเหตุผลของความทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่สูง โดยหนึ่งในบริษัทที่เติบโตได้ดีคือ บริษัท แกรนด์ คอส กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MER ที่สาวๆ มักจะรู้จักกันภายใต้แบรนด์ “MERREZ’CA”
“MERREZ’CA” เป็นที่รู้จักกันมากจากกลยุทธ์ทางการตลาดที่เข้าถึงผู้ใช้ผ่านร้านสะดวกซื้อ ในราคาที่จับต้องได้ง่าย และมีคุณภาพที่ดี ครองใจสาวๆ รุ่นใหม่จำนวนมาก โดย MER อยู่ระหว่างการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai และพร้อมเป็นน้องใหม่ในเวลาอันใกล้นี้
บริษัท แกรนด์ คอส กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MER บริษัทดำเนินธุรกิจร่วมพัฒนา ว่าจ้างผลิต นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ “MERREZ’CA” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ครองใจใครหลายคน ด้วยจุดเด่นที่ราคาเข้าถึงได้ง่าย จุดจำหน่ายร้านสะดวกซื้อทั่วไป ทำให้แบรนด์ MERREZ’CA ได้รับความนิยมในกลุ่มสาวไทยอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ MERREZ’CA เป็นตราสินค้าของบริษัทที่ว่าจ้างผลิตจากโรงงานชั้นนำในประเทศเกาหลีใต้เป็นหลัก ซึ่งเป็นโรงงานที่ได้มาตรฐานและคุณภาพเป็นที่ยอมรับจากแบรนด์ชั้นนำด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ด้านความงามอื่น ๆ ในต่างประเทศ ซึ่งบริษัทดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับผู้บริโภคเป็นหลัก (Customer Centric)
MERREZ’CA นับเป็นแบรนด์ที่มีจุดยืนที่ชัดเจนในฐานลูกค้า โดยมีกลุ่มเป้าหมายผู้มีกำลังซื้อปานกลาง เป็นผู้หญิง วัยรุ่น วัยทำงาน ที่มีความสนใจเรื่องความสวยงามและการบำรุงผิวพรรณเป็นหลัก ชื่นชอบการแต่งหน้าในชีวิตประจำวัน เน้นสไตล์การแต่งหน้าแนวสดใส ดูสวยเป็นธรรมชาติ
กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ บริษัทเติบโตได้รวดเร็ว คือ ความสะดวกในการซื้อขาย และราคาที่เข้าถึงได้ โดย MER ใช้กลยุทธ์ดันช่องทางจัดจำหน่าย ทั้งการค้าปลีกและค้าส่งเพื่อให้กระจายสินค้าได้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วยช่องทางจำหน่ายต่าง ๆ ร้านค้าปลีกสมัยใหม่หรือโมเดิร์นเทรด (Modern Trade: MT) เช่น 7-Eleven, EVEANDBOY, BEAUTRIUM, KIS, Lotus, Big C, Tops, Watsons, Konvy, CJ และ Jiffy
โดยปัจจุบันมีช่องทางในการจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่ คิดเป็น 77% ของยอดขายทั้งหมด ร้านค้าดั้งเดิม 14.8% และร้านค้าสาขาของบริษัท 4.42% และช่องทางออนไลน์ 2.74%
นอกจากนี้ บริษัทยังจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Line OA ของบริษัท และบนแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada และ Tiktok ด้วย
สำหรับกลยุทธ์การเติบโตในอนาคตนั้น MER จะให้ความสำคัญ กับ การพัฒนาสินค้าใหม่ เพื่อรักษายอดขายสินค้าเดิมไว้ และสร้างโอกาสทางการตลาดมากขึ้น รวมถึงพัฒนาช่องทางการจำหน่าย โดยเน้นการขยายและการสร้างช่องทางที่แข็งแกร่งมากขึ้น ทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ซึ่งจะขยายตามการเปิดสาขาใหม่ของร้านสะดวกซื้อ รวมถึงการจัดโปรโมชั่นพิเศษในการจำหน่ายสินค้า ส่วนในช่องอื่นๆ
ทั้งร้านค้าสาขาของบริษัท โดยปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567) บริษัทมีร้านสาขาจำนวน 20 ร้าน ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล 10 ร้าน และพื้นที่ต่างจังหวัด 10 ร้าน จะเน้นการเพิ่มจำนวนสาขาในพื้นที่เขตเศรษฐกิจสำคัญเพื่อรักษาบิลยอดขายให้เติบโตขึ้น รวมถึงการปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายลง
โดยผลการดำเนินงานของบริษัทนั้น มีการเติบโตที่น่าสนใจอย่างมาก โดยมีรายได้จากการขาย - สุทธิ (หลังหักส่วนลด) ในปี 2564 ที่ 363 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 5.97 ล้านบาท ปี 2565 จำนวน 568.74 ล้านบาท มีกำไร 22.45 ล้านบาท ปี 2566 จำนวน 765.88 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 56.07 ล้านบาท และครึ่งปีแรกของปี 2567 ที่ 544.99 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 50 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ 9.25%
อย่างไรก็ตามบริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยได้ยื่นไฟลิ่งกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะเสนอขายหุ้นจำนวน 66 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท โดยมีบริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ในการเข้าระดมทุน บริษัทจะใช้ในการลงทุนใหม่ โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และโอกาสทางธุรกิจในอนาคต เช่นการเข้าซื้อกิจการ รวมถึงการชำระเงินคืนเงินกู้ และเงินหมุนเวียนในบริษัท ส่วนจะเข้าระดมทุนในช่วงไหนนั้นติดตามอย่างใกล้ชิด
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่