การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กลายเป็นประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในตลาดหุ้นเอเชียและไทย เนื่องจากความไม่แน่นอนในทิศทางนโยบายการคลังและการค้าของสหรัฐฯ ทำให้ที่ผ่านมานักลงทุนมีการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย (Risk-off) และการไหลออกของเงินทุนนี้ได้สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อความผันผวนที่อาจจะยังคงเกิดขึ้นต่อไป
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า หลังผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ มีความชัดเจน เชื่อว่าจะมีการไหลกลับของเม็ดเงินลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (Risk-on) มากขึ้น และหากกำไรไตรมาส 3/67 ของบริษัทจดทะเบียนออกมาดี จะเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนในการสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทยด้วย
ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนตุลาคม ตลาดหุ้นเผชิญกับความผันผวนอีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนต่างจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และสถานการณ์ตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ทำให้กระแสเงินลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชียและไทย จากความไม่แน่นอนในระยะถัดไป
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนนี้ ประเมินว่านักลงทุนจะมีการลดสัดส่วนในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง และนำเงินไปลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น (Risk-off) แต่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรวมน่าจะทรงตัวที่ 5-6 หมื่นล้านบาท หากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ชัดเจน เชื่อว่านักลงทุนจะเริ่มกลับมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น (Risk-on) ในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทย แต่จะลงทุนในสัดส่วนมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจของตลาดหุ้นนั้นๆ
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีจุดดึงดูดความน่าสนใจจากนักลงทุน จากดัชนีเริ่มฟื้นช้ากว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ขณะเดียวกัน การเติบโตเศรษฐกิจก็เชื่อมโยงกับภาคท่องเที่ยว ซึ่งมีการพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก และถ้าดูตัวเลขล่าสุด จีนประกาศตัวเลข PMI ออกมาดีมาก และหากค่าเงินไม่เป็นอุปสรรค ประเมินว่าไทยจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกในช่วงปลายปีนี้
นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา หุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ดังนั้น นักลงทุนจะต้อง Selective เลือกลงทุนบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง พร้อมติดตามการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/67 ของบริษัทจดทะเบียน ที่คาดว่าจะดีขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) เชื่อว่าจะเป็นจุดดึงดูดเม็ดเงินให้กลับมาลงทุนได้
สำหรับปัจจัยในประเทศ เศรษฐกิจไทยยังได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะจากภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น รวมถึงข่าวการย้ายฐานการผลิตต่างๆ ที่จะส่งผลให้พื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 2 เดือน (ก.ย.-ต.ค.67) จากสถานการณ์การเมืองในประเทศที่มีเสถียรภาพ รวมถึงมาตรการสนับสนุนตลาดทุนไทยอย่าง กองทุนรวมวายุภักษ์, กองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESG รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ศรพล กล่าวอีกว่า ยังต้องจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าเฟดอาจชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย จากเงินเฟ้อสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แม้จะไม่ได้มีการปรับลดลงอย่างรวดเร็ว แต่จะส่งผลต่อการไหลกลับของเงินทุนไปยังสหรัฐได้
ขณะเดียวกัน มีความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน อาจกดดันความสามารถทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนได้ ขณะที่ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในอีก 12 เดือนข้างหน้าถูกนักวิเคราะห์ปรับลดลง ทำให้ Valuation ในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างตึงตัว
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้