บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ ภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจโลกไตรมาส 3/67 เห็นสัญญาณฟื้นตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในหลายๆ ภูมิภาค ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง แม้จะแสดงสัญญาณชะลอตัวลงแบบค่อยเป็นค่อยไป (Soft landing) ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในปี 2567 เช่นเดียวกับเศรษฐกิจหลักอื่น ได้แก่ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ปรับลดนำไปแล้วก่อนหน้า ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในภาพรวม
ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่เร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงภาคการผลิตและท่องเที่ยว ประเมินเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 2.5% ในปี 2567 และ 3.0% ในปี 2568 ประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET index) ปี 2567 อยู่ที่ 1,500 จุด แนะหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ผลประกอบการเติบโต และได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย
สุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในไตรมาส 3/67 แสดงสัญญาณการฟื้นตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยพัฒนาการการฟื้นตัวจะไล่มาจากเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ได้แก่ สหรัฐฯ ต่อมายังยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะภาคการผลิต (PMI) ที่ฟื้นตัวขึ้น ด้านภาคบริการยังคงแข็งแกร่ง ด้านเศรษฐกิจจีนคาดได้ปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นในเกือบทุกมิติ ทั้งการคลัง การเงิน และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นปัญหาเรื้อรังในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีมาตรการหนุนความเชื่อมั่นในด้านตลาดทุน
ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ในทิศทางชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป นำไปสู่การลดดอกเบี้ยนำโดยฝั่งยุโรป รวมถึงสหรัฐที่คาดจะเกิดในช่วงปลายปี ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และตลาดหุ้นฝั่งเอเชียให้น่าสนใจเพิ่มขึ้น สำหรับตลาดหุ้นไทยยังได้ผลบวกจากเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการที่คาดจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง ประเมินเป้าดัชนีหุ้นไทยที่ 1,500 จุด แนะนำหุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่ม ICT
ด้าน ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางเศรษฐกิจมหภาคกำลังจะเปลี่ยนไป ซึ่งแนวโน้มการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในภาพใหญ่กำลังจะฟื้นตัวขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลก ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกจะเริ่มมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลง โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปีนี้ ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปจะลดได้ 3 ครั้ง
ด้านจีนจะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการการคลัง และทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจไทยมองว่าไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมาเป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทย และกำลังจะฟื้นตัวขึ้น ด้านความเสี่ยงที่ต้องจับตาในไตรมาสนี้ได้แก่ประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างจีนและชาติตะวันตก รวมถึงความเสี่ยงด้านการเมืองไทย อย่างไรก็ตามในสถานการณ์กลางคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในระดับ 2.5% ในปี 2567 และ 3.0% ในปี 2568 จากแรงส่งจากต่างประเทศ และการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐในลักษณะ “โลกฟื้นตัว ไทยฟื้นตาม”
ขณะที่ สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เผยถึงกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 3/67 ว่าจะมีการเปลี่ยนกลุ่มจากการลงทุนหุ้นเติบโต ไปยังหุ้นคุณค่าและหุ้นวัฏจักร ไม่รวมกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกช่วยให้ความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้น แม้ตลาดหุ้นไทยยังคงถูกลดน้ำหนักการลงทุน (underweight) แต่แนวโน้มผลประกอบการที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับความตึงเครียดทางการเมืองที่คลี่คลายลง และการเบิกจ่ายของภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนด้านปัจจัยพื้นฐาน ทำให้ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ลดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างตลาดที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุด (ไต้หวัน, อินเดีย) และแย่ที่สุด (ไทย, อินโดนีเซีย)
ในไตรมาสที่ 3/67 สำหรับตลาดหุ้นไทยประเมินเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,500 จุด แนะรอซื้อที่ระดับต่ำกว่า 1,300 จุด ชี้เป้าหุ้นเด่นไตรมาส 3 เน้นโฟกัสบริษัทที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่แน่นอน ได้แก่ ADVANC, KCE, OSP, PTTGC และ TU
ในขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในไตรมาส 3 คือ กลุ่มซอฟต์แวร์ กลุ่มฮาร์ดแวร์ กลุ่มการแพทย์ กลุ่มค้าปลีก หุ้นเด่นแนะนำ ได้แก่ MSFT ORCL AAPL PFE WMT สำหรับหุ้นแนะนำในยุโรปคือกลุ่มสาธารณูปโภค ได้แก่ Iberdrola, Enel และส่วนหุ้นแนะนำในจีน ได้แก่ Tencent Xiaomi Lenovo Trip.com AIA
ด้าน วิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA, ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับไตรมาส 3 นั้น เราคาดว่านักลงทุนจะได้เริ่มเห็นภาพการแยกทางหลักๆ 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่
1. ด้านนโยบายการเงิน นักลงทุนจะได้เห็นการเดินหน้าลดดอกเบี้ยตามแผนเดิมของหลายธนาคารกลางในเอเชีย ในขณะที่ทางยุโรปนั้นได้ประเดิมลดดอกเบี้ยไปก่อนแล้วจากภาพเศรษฐกิจมหภาคที่ยังอ่อนแอ ขณะที่ทางเฟดนั้นก็จำเป็นต้องตรึงดอกเบี้ยไปจนกว่าจะสิ้นปลายไตรมาสที่ 3
2. ด้านนโยบายการคลังและการเมือง ด้านการเมืองระหว่างประเทศมีแนวโน้มที่จะมีผลกระทบกับตลาดการเงินโลกน้อยลง เนื่องจากสหรัฐฯ เข้าสู่การหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีโค้งสุดท้าย ประกอบกับนโยบายการสนับสนุนการสู้รบในยูเครน-รัสเซีย ตลอดจนเม็ดเงินสนับสนุนอิสราเอลนั้นมีโอกาสที่ไม่มีการอัดฉีดเพิ่มเติมจากปัญหาการคลังของสหรัฐฯ ที่ตึงตัว ในขณะที่ประเทศอื่นๆ จะเริ่มพิจารณานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศตนเอง มากกว่าที่จะสนใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
และ
3. ตัวแปรที่หนุนการเติบโตของตลาดทุนแต่ละประเทศ โดยภาพการลงทุนโดยรวมจะมีแรงหนุนด้านการลงทุนแต่ละประเทศแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยทางสหรัฐฯ จะมาจากการรายงานกำไรของกำไรในกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก ตลาดทุนจีนจะมาจากการออกนโยบายแผนเศรษฐกิจในระยะยาวผ่านการประชุม 3rd Plenum และยุโรปจะฟื้นตัวจากเศรษฐกิจมหภาคในจุดต่ำสุดพร้อมกับแรงส่งจากการลดดอกเบี้ย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาสนี้เน้นกลยุทธ์ลงซื้อ-ขึ้นขายในตลาดที่มีปัจจัยกระตุ้นการลงทุนเฉพาะตัวอย่างสหรัฐฯ และจีน เมื่อตลาดหุ้นพักฐาน โดยเรามีการปรับมุมมองการลงทุนในยุโรปและทองคำเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งปรับคำแนะนำการลงทุนในเวียดนามลดลง สำหรับภาพลงทุนระยะกลาง-ยาว (TAA 3-6 เดือน และ 12 เดือนขึ้นไป) โดยเราแนะนำให้นักลงทุนทยอยสร้าง Core portfolio ผ่านการลงทุนในกองทุนตราสารทุนโลกอย่าง KT-GESG-A และทยอยสะสมการลงทุนตราสารหนี้โลกผ่านกองทุน KFSINCFX-A และสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มด้วยกองทุนหุ้นสหรัฐฯ อย่าง TMBUSBLUECHIP และหุ้นจีน SCBCHEQA.
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้