ในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นขนาดเล็กปรับตัวลงอย่างรุนแรง โดยนักวิเคราะห์ต่างมองว่า มีการเรียกหลักประกัน (Call) และการบังคับขาย (Force Sell) ในบัญชีมาร์จิ้นส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น และสร้างแรงกดดันในตลาด ทำให้ราคาหุ้นบางตัวลดลงแตะจุดต่ำสุดของวัน (Floor) และด้วยตลาดหุ้นไทยที่ขาดสภาพคล่อง นำมาสู่ความผันผวนและขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุน
กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ “Thairath Money” ว่า ความผันผวนของราคาหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น พบว่ามีหลายบริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐาน แต่เกิดจากการนำหุ้นไปเป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้นของนักลงทุนหรือเจ้าของบริษัท เพื่อนำเงินไปลงทุนต่อหรือขยายธุรกิจ
โดยการกระทำดังกล่าวนำมาซึ่งความเสี่ยง จากปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง และมีโอกาสนำมาสู่การเรียกหลักประกันเพิ่ม หรือการบังคับขาย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้หุ้นขนาดเล็กหลายตัวที่มีสัดส่วนในบัญชีมาร์จิ้นสูงปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม หุ้นขนาดกลาง-เล็ก ไม่ได้มีความเสี่ยงลักษณะดังกล่าวทุกบริษัท เพราะการนำหุ้นไปเป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้นเป็นการกระทำส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ขณะเดียวกัน หุ้นที่มีสัดส่วนในบัญชีมาร์จิ้นสูง หากมีความสามารถในการชำระหนี้คืนก็มองว่าไม่มีความน่ากังวลเช่นกัน
ทั้งนี้ มองว่าสาเหตุที่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากปัญหา Valuation ที่แพงเกินไป ซึ่งหากไม่มีปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นในระยะสั้น ก็ทำให้มีโอกาสปรับตัวลงต่อได้ เพียงแต่หุ้นขนาดกลาง-เล็ก อาจมีความผันผวนมากกว่า
ดังนั้น แนะนำนักลงทุนให้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเป็นหลัก ว่ามีแนวโน้มการเติบโตเป็นอย่างไร และราคาหุ้นเหมาะสมหรือไม่ โดยพยายามหลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นที่มี Valuation สูง หรือมี P/E มากกว่า 30 เท่า หรือ มีการควบคุมระดับความเสี่ยงในการให้สัดส่วนเงินลงทุนน้อยลง และกระจายการลงทุนไปยังหุ้นที่หลากหลายมากขึ้น ก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นได้
ด้านฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สัญญาณล่าสุดที่เห็น มีการกล่าวถึงการ Force Sell ของบัญชีมาร์จิ้นมากขึ้น ซึ่งในประเด็นนี้หากมองผลกระทบทางตรง ก็เห็นว่าเป็นแรงกดดันต่อราคาหุ้น แต่หากมองไปไกลกว่านั้น ก็มีโอกาสที่จะเห็นเป็น แรงกดดันรอบท้ายๆ
โดยวานนี้หุ้นหลายตัวขนาดกลาง-เล็ก ปรับตัวลงแรงใกล้และถึงราคาต่ำสุด อาทิ NEWS, JCKH, SDC, SABUY, NRF, SBNEXT, AS, YGG, PK, TRC, NEX และ BYD เป็นต้น ซึ่งเกิดข้อสงสัยว่าหุ้นที่ปรับตัวลงแรงวานนี้ อาจเพราะมี %MARGIN คงค้างที่อยู่ระดับสูง
เนื่องจากหุ้นหลายตัวที่ปรับตัวลงแรงวานนี้มี %MARGIN คงค้างอยู่ระดับ 20%-45% อาทิ NRF, SBNEXT, AS, YGG และ NEX เป็นต้น และด้วยสภาวะตลาดฯในปัจจุบันที่ขาดสภาพคล่องส่วนเกินมาหนุน จึงทำให้เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงแรงจนแตะระดับต้องเรียกหลักประกัน (call) หรือ Force Sell จึงทำให้ราคาเกิดการปรับตัวลดแตะจุดต่ำสุดได้ไม่ยาก และเกิดภาวะไร้ bid ขึ้นดังเหตุการณ์เมื่อวานนี้ โดยรวมจึงทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน และขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าว คาดไม่ได้กดดันรุนแรงมากนักเฉกเช่นในอดีต เนื่องจาก มูลค่าซื้อขายผ่านบัญชีมาร์จิ้น ทั้งหมด เดือน พ.ค. 67 อยู่ที่ 8.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงถึง 71% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2564 ที่อยู่สูงระดับ 2.97 แสนล้านบาท รวมถึงล่าสุดมีปริมาณหุ้นที่ใช้มาร์จิ้นคงค้างสัดส่วนเพียง 1.54% ของมาร์เก็ตแคป แสดงให้เห็นการใช้มาร์จิ้นโดยรวมที่ลดลงกว่าในอดีตมาก จึงเป็นประเด็นที่นักลงทุนเบาใจลงได้บ้างระดับหนึ่ง
ด้าน ธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น YGG ออกมายืนยันว่ายังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยถือหุ้นครบสัดส่วนที่ 41.14% และอยากให้ผู้ถือหุ้นรวมทั้งนักลงทุน มั่นใจในการบริหารงานของกลุ่มผู้บริหารของบริษัท
โดย YGG ยังคงดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัท มีการขยายงานในทุกส่วนของธุรกิจอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการหาพันธมิตรจากต่างประเทศที่มีศักยภาพ สามารถต่อยอดธุรกิจของบริษัทได้ เพื่อให้บริษัทมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพในการเติบโตสูง และมั่นใจว่าผลประกอบการของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่ดี เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วาง
ทั้งนี้บริษัทได้ประกาศแผนการจับมือกับพันธมิตรต่างชาติ เพื่อผลักดันธุรกิจในส่วนของแอนิเมชันและเกม รวมทั้งการขยายในส่วนของภาพยนตร์ฮอลลีวูดด้วยโปรเจกต์ใหม่ๆ ซึ่งล่าสุดได้จับมือกับพันธมิตรจากประเทศจีน เพื่อร่วมกันผลิตผลงานด้านแอนิเมชัน
ในส่วนของงานเกมในปีนี้บริษัทมีแผนทยอยออกเกมใหม่ ด้านภาพยนตร์ที่ร่วมผลิตภาพฮอลลีวูด Home Sweet Home Rebirth กับพันธมิตรต่างประเทศ ขณะนี้ขบวนการผลิตใกล้เสร็จสมบูรณ์ และมั่นใจกระแสตอบรับดี คาดว่าจะสามารถสรุปผู้ซื้อรายใหญ่จากฝั่งอเมริกาได้ภายในเร็วๆ นี้
“ปีนี้มีการขยายงานในทุกส่วน เรามั่นใจผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมาย YGG มีแผนการขยายธุรกิจที่ชัดเจน แนวทางของการบริหารมุ่งเน้นให้บริษัทแข็งแกร่ง เติบโตในระยะยาว จึงอยากให้นักลงทุน ผู้ถือหุ้น มีความมั่นใจ เชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัท” ธนัช กล่าว
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้