หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด CPALL ปิด 59.25 บาท ลบ 1.75 บาท, NEX ปิด 5.30 บาท บวก 1.22 บาท, PTTEP ปิด 155.50 บาท บวก 1 บาท, JMT ปิด 17.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, PTT ปิด 34 บาท บวก 0.25 บาท
บล.ทรีนีตี้ ชี้หุ้นไทยบวก สอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก รับข่าวดีเงินเฟ้อสหรัฐฯที่ออกมาไม่สูงกว่าตลาดคาด ประเมินเป็นปัจจัยบวกด้าน Sentiment ที่สำคัญต่อกลุ่ม Bond-like, Rate sensitive และ Tech-play ที่นักลงทุนอาจหยิบยกมาเก็งกําไรอีกครั้ง ทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC) กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, TIDLOR) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA, KCE, HANA)
ฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส มองว่า ปัจจัยหลักที่จะขับเคลื่อนดัชนีหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 67 คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ นำโดยการท่องเที่ยว ช่วยให้กำไรบริษัทจดทะเบียนค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยกระตุ้นเพิ่มเติม จากความเป็นไปได้สูงที่จะมีการนำกองทุน LTF กลับมา หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นปัจจัยบวก ทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund flow) ไหลกลับเข้ามาในหุ้นไทยอีกครั้ง แต่มีข้อแม้ว่า LTF ที่จะนำกลับมา ต้องมีเงื่อนไขการถือครองและสิทธิประโยชน์ภาษีใกล้เคียง หรือเหมือนกองทุน LTF เดิมที่ยกเลิกไป
กลยุทธ์ลงทุนครึ่งปีหลัง สะสมหุ้น Domestic play ที่ผลดำเนินงานมีแนวโน้มแข็งแกร่ง เชียร์ WHA, SCC, SCCC, CPN และ TU เป็นต้น
ด้านนักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มอง 2 ปัจจัยหลักที่จะขับเคลื่อน SET Index ครึ่งหลังของปี 67 ให้ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งกว่าช่วงครึ่งแรกของปี คือการนำกองทุน LTF กลับมาอีกครั้ง จะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนจากสถิติในอดีตที่มักมีเงินลงทุนไหลเข้าหุ้นไทยราว 4-6 หมื่นล้านบาท/ปี แต่ก็ต้องดูเงื่อนไขด้วย หากกำหนดให้ถือครองในระยะสั้นได้จะทำให้นักลงทุนมีความสนใจมากขึ้น อีกปัจจัยคือ การเบิกจ่ายงบประมาณ จะทำให้เศรษฐกิจค่อยๆไต่ระดับขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี ส่งผลดีทางตรงต่อตลาดหุ้นด้วย
แนะกลยุทธ์ลงทุนครึ่งหลังปี 67 สะสมหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลชอบ CPALL, ADVANC, THCOM และ OSP!!
อินเด็กซ์ 51