คนในแวดวง ตลาดหุ้นไทย คึกคักขึ้นมาทันที เมื่อ คุณพิชัย ชุณหวชิร อดีตประธานตลาดหลักทรัพย์ แถลงหลังเข้ารับตำแหน่ง รองนายกฯและรัฐมนตรีคลัง ว่า มีแผนจะนำ “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กลับมา เพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยระบุว่าตลาดทุนมีการเชื่อมต่อกับตลาดเงิน ถือเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ตนเคยปฏิบัติหน้าที่ประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาสองเดือน 18 วัน ได้เข้าไปแก้ภายในองค์กรเพื่อทำให้เกิดกติกาที่เป็นที่ยอมรับและดูแลทุกกลุ่ม
คุณจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยคลัง ก็เปิดเผยว่า เตรียมมอบหมายให้ กรมสรรพากร ไปศึกษาการนำ “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)” กลับมาดำเนินการอีกครั้ง ตามนโยบายของรองนายกฯและรัฐมนตรีคลัง
นโยบายฟื้นคืนชีพ “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)” ของรัฐมนตรีคลังคนใหม่ สร้างความตื่นเต้นให้กับคนในตลาดทุนเป็นอย่างมาก ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) แถลงว่า จะขอเข้าพบรองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง เพื่อหารือเรื่องการฟื้นกองทุน LTF กลับมาอีกครั้ง และเสนอให้ปรับเงื่อนไขระยะเวลาการถือครอง “กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF)” ให้สั้นลงใกล้เคียงกับกองทุน LTF รวมทั้งเสนอให้ปรับเงื่อนไขระยะเวลาการถือครอง “กองทุนรวม Thai ESG” ให้สั้นลงจาก 8 ปี เพื่อดึงดูดให้มีผู้สนใจลงทุนมากขึ้น พร้อมทั้งเสนอให้มีการจัดตั้ง “กองทุนการออมเพื่อการศึกษาสำหรับบุตรหลาน” ด้วย
บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส ประเมินว่า หาก กองทุนรวม LTF กลับมาอีกครั้ง จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย อย่างมากมายหลายประการเลยทีเดียว
หนึ่ง–แรงขายจากนักลงทุนสถาบันมีโอกาสลดลง หลังจากที่ไม่มีกองทุน LTF และกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSFX) มาสักระยะ นักลงทุนสถาบันก็เริ่มขายสุทธิออกมาต่อเนื่อง ช่วงมกราคม 2564–เมษายน 2567 นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ขายหุ้นไทยมากที่สุด 150,000 ล้านบาท สูงกว่านักลงทุนต่างชาติที่ขายไปเพียง 103,000 ล้านบาท
สอง–ลดแรงขายจากเงินคงค้างใน LTF เก่า ตอนที่กองทุน LTF หมดสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีปลายปี 2562 มีเม็ดเงิน LTF คงค้างในระบบสูงถึง 406,000 ล้านบาท จากนั้นก็ค่อยๆถอนออกจากตลาดหุ้นไทยกว่า 159,000 ล้านบาท ล่าสุดเดือนเมษายน 2567 ยังมีเม็ดเงิน LTF เก่าคงค้างอยู่ 247,000 ล้านบาท หากไม่มีเม็ดเงินใหม่จาก LTF เข้ามาช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยจะถูกกดดันจากแรงขาย LTF ที่คงค้างต่อ
สาม–ลดผลกระทบจากการชอร์ตเซลล์ หรือแรงกระทบจากปัจจัยภายนอก ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนในระยะสั้น เม็ดเงิน LTF จะช่วยพยุงในยามที่หุ้นผันผวนระยะสั้นได้
สี่–คาดหวังว่าจะมีเม็ดเงินใหม่จาก LTF เข้ามา 6–7 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยประเมินจากกองทุน LTF ในอดีตที่มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นราว 6–7 หมื่นล้านบาทต่อปี ช่วยหนุนสภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้น หรือ turnover ในระบบสูงขึ้น ในอดีตช่วงที่มีกองทุน LTF ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องหรือ turnover เฉลี่ยสูงถึง 80% ต่อปี ปัจจุบันลดเหลือเพียง 62.7% หากสภาพคล่องกลับมาที่เดิม มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นจะกลับไปที่ 55,000 ล้านบาทต่อวัน
ห้า–จากการรวบรวมเม็ดเงินของกองทุนหุ้นในระบบพบว่า เป็นกองทุนหุ้นเมืองนอกสูงถึง 640,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 40% ของกองทุนหุ้นทั้งหมด ขณะที่เม็ดเงินใน กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หุ้นไทย มีเพียง 110,000 ล้านบาท คิดเป็น 7% และ กองทุน LTF 250,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15% หากฟื้นกองทุนรวม LTF กลับมา จะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยโดยตรง
เห็นข้อมูลแล้ว ผมคิดว่า กระทรวงการคลัง ควรเร่ง “ฟื้นกองทุนรวม LTF” กลับมาโดยเร็ว ให้คนไทยมีโอกาสลงทุนออมหุ้นในระยะยาว ให้ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องสูงขึ้น โลกวันนี้ต้อง “เติบโตจากภายใน” ครับ คนในชาติต้องแข็งแรง จึงจะรับมือกับโลกยุคใหม่ได้.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ "หมายเหตุประเทศไทย" เพิ่มเติม