ตลาดหุ้นไทยมีผลงานน่าผิดหวัง เมื่อดัชนีปรับตัวลดลงจากต้นปี 1.79% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในหลายประเทศที่ปรับตัวทำสถิติใหม่ โดยปัจจัยสำคัญมาจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติ ที่ยังเลือกขายหุ้นไทย โดยปัจจุบันมีแรงขายสุทธิแล้วกว่า 68,862 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังมองว่า เงินลงทุนต่างชาติท้ายที่สุดจะพลิกเป็นซื้อสุทธิ จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐช่วยดึงดูด
ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมของกระแสเงินทุนต่างชาติในปี 2567 เชื่อว่าจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยได้ แม้ในช่วงที่ผ่านจะมีการขายสุทธิเกือบ 7 หมื่นล้านบาทแล้วก็ตาม โดยมองว่า แรงดึงดูดที่สำคัญที่จะทำให้เงินทุนพลิกกลับมาเป็นบวก คือการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
“ตลาดหุ้นไทยจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้ มาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย ความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงทิศทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลจะช่วยดึงเงินต่างชาติให้กลับมาเป็นบวกได้"
ทั้งนี้ ผู้จัดการตลาดหลักทัรพย์ มองว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังเหนื่อย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไม่ได้แยกตัวจากเศรษฐกิจโลก ทำให้มีความท้าทายใหม่ๆ เข้ามาเสมอ เช่น สงครามกลางเมืองในเมียนมาดังนั้นการที่นักลงทุนจะเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างๆ ขึ้นอยู่กับว่าเศรษฐกิจไทย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นเป็นอย่างไรบ้าง โดยจะเห็นว่ากระแสเงินทุนเริ่มไหลกลับมาในเดือนกุมภาพันธ์ และกลับออกไปในเดือนมีนาคม ในปีนี้คาดว่าการใช้จ่ายภาครัฐที่มากขึ้นจะเป็น Turning point ตลาดหุ้นไทย เนื่องจากช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ทำให้กระแสเงินทุนกลับเข้ามาได้ รวมถึงธุรกิจไทยเริ่มแข็งแกร่ง กลับเข้ามาแข่งขันได้มากขึ้น ถ้าไม่มีอะไรผิดความคาดหมาย คาดว่า ตลาดหุ้นไทยจะปรับดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว
สำหรับภาวะตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาสแรกปี 2567 พบว่า เศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณชะลอตัวลง แม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่สภาวะถดถอย แต่อัตราเงินเฟ้อไม่ได้ลดลงตาม ที่ธนาคารกลางหลายแห่งคาดหวัง ทำให้ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของแต่ละประเทศแตกต่างกันไป โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งเกินคาด ทำให้นักลงทุนกังวลว่า FED อาจชะลอการลดดอกเบี้ยออกไป ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า นอกจากนี้ยังเห็นสัญญาณเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในหุ้นขนาดใหญ่ อย่างไรก็ดีหุ้นขนาดกลางและเล็กได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนมาก