เคจีไอ ปรับเกมใหม่ ออก DR หุ้นต่างประเทศ สร้างแหล่งรายได้ใหม่ หลังครองอันดับ 1 ในตลาด DW

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เคจีไอ ปรับเกมใหม่ ออก DR หุ้นต่างประเทศ สร้างแหล่งรายได้ใหม่ หลังครองอันดับ 1 ในตลาด DW

Date Time: 13 ก.พ. 2567 16:26 น.

Video

“ไทยรัฐ โลจิสติคส์” ถอดคราบ “ยักษ์เขียว” มุ่งสู่ขนส่งครบวงจร | Thairath Money Talk

Summary

  • KGI ผู้ออก DW ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในประเทศไทยที่ 48% ประกาศรุกตลาด DR เพื่อเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยเปิดตัว 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ JAPAN13, HK13 และ HKTECH13 อ้างอิงกองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นชั้นนำขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น จีน และฮ่องกง

ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ Depositary Receipt (DR) เป็นเครื่องมือทางการเงินหนึ่งที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากสามารถเลือกลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เสมือนการซื้อหุ้นตัวนั้นในตลาดหุ้นจริงๆ โดยใช้สกุลเงินบาท ซึ่งสะดวกกว่าการไปเปิดบัญชีหุ้นที่ต่างประเทศเพื่อลงทุนโดยตรงเอง


ทั้งนี้ DR มีราคา Bid-Offer ที่อ้างอิงกับราคาหุ้นต่างประเทศที่แปลงมาเป็นสกุลเงินไทยบาท นักลงทุนจึงใช้บัญชีซื้อขายหุ้นปกติลงทุนใน DR ได้เลย โดย DR ไม่มีวันหมดอายุ จึงเหมาะกับการลงทุนระยะยาว แตกต่างจาก DW ที่มีอายุจำกัด และอัตราทดสูง จึงเหมาะกับการเก็งกำไรในระยะสั้นมากกว่า


ล่าสุด บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ผู้ออกตราสารอนุพันธ์ หรือ Derivative Warrant (DW) ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในประเทศไทยที่ 48% ประกาศรุกตลาด DR เพื่อเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยเปิดตัว 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ JAPAN13, HK13 และ HKTECH13 อ้างอิงกองทุน ETF ที่ลงทุนในหุ้นชั้นนำขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น จีน และฮ่องกง


เปิดเหตุผล..ทำไมต้องรุกธุรกิจ DR


เจนวิทย์ ชินกุลกิจนิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI เปิดเผยว่า บริษัทออก DR มาพร้อมกันถึง 3 หลักทรัพย์ เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจ DW ที่กินส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 48% เป็นอันดับ 1 ในเวลานี้ และเพิ่มทางเลือกการลงทุนในต่างประเทศให้กับนักลงทุนไทย เนื่องจากการเปลี่ยนแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกาจากที่เป็นขาขึ้นในปี 2566 เป็นแนวโน้มคงที่หรือปรับตัวลง ทำให้มีโอกาสที่จะมีการเคลื่อนไหวของเงินลงทุนทั่วโลกในตลาดหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้น


และในปีที่ผ่านมา เราเห็นดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนตัวแยกกันอย่างชัดเจน ได้แก่ ดัชนี Nikkei225 +30% ขณะที่ดัชนี Hang Seng Index -18%, ดัชนี Hang Seng TECH Index ลง -15% ดังนั้นความต้องการการลงทุนของนักลงทุนในปีนี้จึงแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ยังสนใจตลาดหุ้นที่ร้อนแรงในปี 2566 คือตลาดหุ้นญี่ปุ่น กับอีกกลุ่มที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีนหลังราคาหุ้นปรับลงมาแรงต่อเนื่อง 3 ปี


จึงเป็นที่มาของการเลือกออก DR ทั้ง 3 ตัว ได้แก่ JAPAN13, HK13 และ HKTECH13 ที่ลงทุนในกอง ETF ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และตลาดหุ้นฮ่องกง การรุกธุรกิจ DR ที่อ้างอิงกับเศรษฐกิจฮ่องกงและจีนและตลาดหุ้นญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการออก DW ในประเทศไทย จึงเป็นกลยุทธ์หลักในปีนี้


นอกจากนี้ มูลค่าการซื้อขายของตลาดทั้งอุตสาหกรรม DR ในปัจจุบัน อยู่ที่เฉลี่ยราว 130 ล้านบาทต่อวัน โดยในระยะถัดไปคาดว่าตลาดจะมีการออก DR มาตอบรับความต้องการของนักลงทุนมากขึ้น ทำให้เชื่อว่าในปี 2567 นี้ มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 200 ล้านบาท


ทั้งนี้ บล.เคจีไอ มีโอกาสออก DR ใหม่ในประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยมองว่าจะยังโฟกัสตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก เพื่อให้นักลงทุนได้รับประโยชน์สูงสุด จากเงื่อนไขของเขตเวลา (Time Zone) และเพื่อตอบรับความต้องการของกลุ่มนักลงทุนที่เป็นฐานลูกค้าของบริษัทให้อย่างครอบคลุม


ส่องความน่าสนใจ 3 DR


สำหรับ DR ที่ออกมาล่าสุด ได้แก่ JAPAN13, HK13 และ HKTECH13 ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนในปีนี้ที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นที่ยังร้อนแรง และกลุ่มที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นที่มีการปรับตัวลงมามากๆ โดยความน่าสนใจของ DR ทั้ง 3 ตัวที่ออกมาล่าสุดมีดังนี้

JAPAN13 - ลงทุนในกองทุน ETF ChinaAMC MSCI Japan Hedged to USD ETF (3160 HK) โดยมีการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่ญี่ปุ่นมากกว่า 200 ตัว เช่น TOYOTA, SONY Group และ Mitsubishi UFJ Financial Group เป็นต้น โดยในปี 2566 ราคากองทุน ETF นี้ปรับตัวขึ้นถึง 32.7% และมีค่ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท 

HK13 - ลงทุนในกองทุน ETF Tracker Fund of Hong Kong (2800 HK) จะมีราคาเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับดัชนี Hang Seng ซึ่งเป็นดัชนีที่ครอบคลุมหุ้นประมาณ 80 บริษัทที่มีการทำธุรกิจในประเทศจีนและฮ่องกง เช่น HSBC Holding, TENCENT, AIA Group, ALIBABA และ CHINA Mobile เป็นต้น กองทุนมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึงกว่า 5 แสนล้านบาท

HKTECH13 - ลงทุนในกองทุน Heng Seng TECH Index ETF (3032 HK) ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และทำธุรกิจในประเทศจีนเป็นหลัก ครอบคลุมหุ้น 30 ตัว เช่น XIAOMI, TENCENT, NETEASE, ALIBABA และ SMIC โดยกองทุนนี้มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ