หุ้นแบงก์ร่วง ไม่เกี่ยว “เศรษฐา” ทิสโก้ ชี้ นักลงทุนเทขาย หวั่นหุ้นกู้ ITD กระทบตั้งสำรองพุ่ง

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

หุ้นแบงก์ร่วง ไม่เกี่ยว “เศรษฐา” ทิสโก้ ชี้ นักลงทุนเทขาย หวั่นหุ้นกู้ ITD กระทบตั้งสำรองพุ่ง

Date Time: 8 ม.ค. 2567 16:58 น.

Video

สาเหตุที่ทำให้ Intel อดีตยักษ์ใหญ่ชิปโลก ล้าหลังยุค AI | Digital Frontiers

ความเคลื่อนไหวหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์วันนี้ ปรับตัวลดลง หลัง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ย้ำจุดยืนไม่เห็นด้วยกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะขึ้นดอกเบี้ยสวนทางเงินเฟ้อ ขณะที่ยังมีความกังวลสำหรับการผิดนัดชำระหุ้นกู้ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD อาจกระทบการตั้งสำรองของกลุ่มธนาคารหรือไม่


หุ้นแบงก์ร่วง ไม่เกี่ยวนายกฯ


อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มธนาคารวันนี้ มองว่าไม่เกี่ยวกับประเด็นที่นายกรัฐมนตรีไม่เห็นด้วย กับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สวนทางกับเงินเฟ้อ ที่อาจกดดันต่อผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ดี มองว่า ธปท. มีแนวทางกำกับที่ดีอยู่แล้ว


ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นนั้น คาดว่าเกิดจากความกังวลของนักลงทุน เกี่ยวกับประเด็นการเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น ITD ที่มีการขอเลื่อนจ่ายเงินต้นหุ้นกู้ 2 ปี และจะชำระเพียงดอกเบี้ยหุ้นกู้ ซึ่งต้องติดตามต่อว่าผลการประชุมผู้ถือหุ้นกู้จะออกมาเป็นอย่างไร แต่ประเด็นดังกล่าวจะทำให้กลุ่มธนาคารมีโอกาสตั้งสำรองสูงขึ้น


ทิศทางดอกเบี้ยเฟดชัดเจน หนุนฟันด์โฟลว์ไหลเข้าครึ่งปีหลัง


อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวอีกว่า กระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติมีโอกาสไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 หลังทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชัดเจนขึ้น ประกอบกับแรงส่งจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในการลงทุนโครงการต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มีสัญญาณการขับเคลื่อนที่ดีขึ้น


ด้านสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ทิศทางกระแสเงินลงทุนคาดว่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ หลังปี 2566 ไหลออกเกือบ 2 แสนล้านบาท โดยปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศแข็งแกร่งขึ้น และคาดหวังว่ารัฐบาลจะสามารถบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานได้ จากเน้นเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนเป็นหลัก

คาดเม็ดเงิน Thai ESG ทะลุหมื่นล้าน


สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า อีกหนึ่งปัจจัยหนุนของตลาดหุ้นไทยปี 2567 คือเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน Thai ESG ที่คาดว่าจะสามารถแตะที่ระดับ 10,000 ล้านบาทได้ หลังปีก่อนทำได้ราว 6,000 ล้านบาท ซึ่งรอบนี้เชื่อว่านักลงทุนที่อยู่ระหว่างการศึกษาจะตัดสินใจลงทุนได้ เนื่องจากภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ดีขึ้นจากปีก่อน


อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในกองทุน Thai ESG มีเงื่อนไขที่ดีกว่า กองทุนรวม SSF เพราะมีระยะเวลาถือครองหุ้นเพียง 8 ปี ส่วนกองทุน SSF ต้องถือครองครบกำหนด 10 ปี จะทำให้นักลงทุนหันมาสนใจลงทุนมากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันมูลค่าหุ้นไทยยังอยู่ในระดับต่ำ จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุน


นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาด เศรษฐกิจฟื้น-ดอกเบี้ยลด หนุนหุ้นไทยสิ้นปี 1,590 จุด


สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสํารวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการ กองทุนรวม 26 สํานัก คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นไปปิดสิ้นไตรมาสแรกที่ 1,476 จุด และเมื่อมองตลอดปี จะแกว่งตัวในกรอบ 1,340 ถึง 1,612 จุด โดยไปปิดสิ้นปี 2567 ที่ 1,590 จุด พร้อมคาดการณ์ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2567 ที่ระดับ 3.33%


โดยระบุปัจจัยบวกที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2567 ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปี 67, ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา, เศรษฐกิจภายในประเทศ และ Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย ส่วนปัจจัยด้านลบ ได้แก่ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสําคัญทั่วโลก, ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ และปัจจัยด้านเศรษฐกิจโลก


นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนําไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคประชน ได้แก่ มาตรการลดค่าครองชีพ 


อย่างไรก็ตาม เรื่องนโยบายแจกเงินนั้นอยากให้เปลี่ยนเป็นโครงการกระตุ้นการบริโภค (คล้ายคนละครึ่ง) หรือนโยบายช็อปช่วยชาติ และตามมาด้วย เสนอนโยบายด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ เร่งแผนยกระดับศักยภาพการผลิตไทย ส่งเสริม FDI ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ รวมถึงกระตุ้นการลงทุนเอกชนในประเทศเกี่ยวกับ New technology และ ESG

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ