เงินบาทแข็งพรวด คาดเงินไหลเข้าตลาดหุ้น เปิดลิสต์หุ้นเตรียมรับประโยชน์

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เงินบาทแข็งพรวด คาดเงินไหลเข้าตลาดหุ้น เปิดลิสต์หุ้นเตรียมรับประโยชน์

Date Time: 3 ม.ค. 2567 10:57 น.

Video

3 มาตรการใหม่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คุมหุ้นร้อนผิดปกติ | Money Issue

Summary

  • ทิศทางเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ชี้เป็นปัจจัยหนุนทำให้มีกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ พร้อมเปิดกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นได้ประโยชน์บาทแข็งค่า อาทิ กลุ่มที่มีต้นทุนหรือหนี้สกุลต่างประเทศ กลุ่มเน้นการนำเข้า และกลุ่มเป้าหมายกระแสเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้า

ทิศทางเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ 34.34 บาทต่อดอลลาร์ (ณ วันที่ 2 ม.ค.) แข็งค่าขึ้นราว 5.91% เมื่อเทียบกับ 3 เดือนก่อนอยู่ที่ราว 36.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ มีแนวโน้มเป็นขาลงชัดเจน และกลไกการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่เร็วกว่าไทยนั้น จะทำให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าต่อ โดยนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คาดว่าน่าจะเป็นปัจจัยหนุนทำให้มีกระแสเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้


นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ทิศทางของเงินบาทที่ยังแข็งค่า น่าจะเป็นแรงส่งให้กระแสเงินลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ต่อ หลังจากที่วานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 1.25 พันล้านบาท ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยมีมากขึ้น โดยมติ ครม. มีหลายมาตรการที่เข้ามากระตุ้นภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกเว้นวีซ่าถาวร ระหว่างไทย-จีน เชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้ต่างชาติเดินทางเข้ามาในบ้านเรามากขึ้น และน่าจะเป็นผลดีในระยะยาว คาดเป็นปัจจัยหนุนให้เงินบาทแข็งค่า


จากข้อมูลในอดีต ในช่วงที่ก่อนโควิด-19 ระหว่างปี 2558-2562 ดุลบัญชีเดินสะพัดมีค่าเฉลี่ยเกินดุลราว 3.68 พันล้านดอลลาร์ โดยมีแรงส่งมากจากทั้งดุลการค้าและดุลบริการที่เกินดุลเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่เงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 31 บาทดอลลาร์ ในส่วนระยะถัดไปหากนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น เชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนให้ดุลบริการและดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกกลับมาเกินดุลต่อเนื่องได้อีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นแรงส่งสำคัญให้เงินบาทแข็งค่ามากขึ้น คาดดีต่อกระแสเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าไทย


ขณะที่ในสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ จะเริ่มพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2567 โดยในวันที่ 3-5 ม.ค. จะมีการอภิปรายก่อนลงมติเห็นชอบในวาระที่ 1 (รับหลักการ) คาดว่าจะเสร็จกระบวนการทั้งหมดและมีผลบังคับใช้ในช่วงปลายเดือน เม.ย. หรือต้นเดือน พ.ค. 2567 หลังจากนั้นก็น่าจะเห็นการใช้เม็ดเงินงบประมาณในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น


นอกจากนี้ สำหรับการเปิดซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกของปี 2567 จะเห็นได้ว่า ตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่งสวนทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงราว -0.7% ถึง -1.6% หลังนักลงทุนกังวลการประชุม Fed Minutes คืนนี้ เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ แต่ตลาดคาดปรับลด 5-6 ครั้ง กดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ระหว่างวันเพิ่มขึ้นแตะระดับ 4% และดอลลาร์แข็งค่า 0.9% อยู่ระดับ 102.2 จุด ซึ่งหากพิจารณาในมุมค่าเงินในเอเชีย จะเห็นได้ว่าอ่อนค่าลงเกือบทุกประเทศ ยกเว้นแค่ไทยที่ยังแข็งค่าต่อเนื่อง หลังมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว คือ ประเด็นยกเลิกวีซ่าไทย-จีน


หรืออีกทางหนึ่ง จะเห็นเม็ดเงินโยกย้ายจากหุ้นกลุ่มเติบโต มาสู่หุ้นกลุ่มคุณค่ามากขึ้น สังเกตได้จากวานนี้ MSCI Growth index ปรับตัวลง 1.6% สวนทาง MSCI value index ที่ปรับตัวขึ้น 0.2% ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยดูน่าสนใจ เนื่องจากส่วนใหญ่น้ำหนักหุ้นไทยอยู่ในกลุ่มคุณค่าอยู่แล้ว ดังนั้น เม็ดเงินบางส่วนมีการไหลกลับมาในหุ้นคุณค่า พร้อมกับค่าเงินบาทที่ยังอยู่ในทิศทางแข็งค่าสู่ระดับ 33.5-34 บาท/เหรียญ หนุนกระแสเงินลงทุนมีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยต่อ หลังจากต่างชาติและสถาบันฯ ที่ยังซื้อสุทธิหุ้นไทยในวานนี้ 1.26 พันล้านบาท และ 1.42 พันล้านบาท ตามลำดับ หนุนให้มียอดซื้อสะสม ในช่วง 14 ธ.ค. 2566 ถึง 2 ม.ค. 2567 ของสถาบันฯ เพิ่มขึ้นเป็น 8.1 พันล้านบาท และต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 7.4 พันล้านบาท หนุนให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 5.5% ในช่วงเวลาดังกล่าว


ส่วนกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นได้ประโยชน์บาทแข็งค่า อาทิ กลุ่มที่มีต้นทุนหรือหนี้สกุลต่างประเทศ ได้แก่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น GULF, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น BGRIM, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น MINT


กลุ่มเน้นการนำเข้า ได้แก่ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TFG, บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TVO


และกลุ่มเป้าหมายกระแสเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้า ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น KBANK, บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TISCO, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น IVL, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SCC, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น CPN, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น CPALL และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น ADVANC เป็นต้น

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ