ถึงเวลาปรับธุรกิจครั้งใหญ่จากธุรกิจ สำหรับ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น STEC ที่เปลี่ยนผ่านจากธุรกิจดั้งเดิม จาก รับเหมาก่อสร้างที่เน้นโครงการรัฐบาลขนาดใหญ่ ไปสู่ธุรกิจที่มีการเติบโตสูง ทั้งพลังงาน และสัมปทาน โดยเริ่มต้นด้านการปรับบริษัทเป็น “โฮลดิ้ง คอมปานี” โดยจะแบ่งกลุ่มธุรกิจ ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มธุรกิจหลักและกลุ่มธุรกิจอื่น รุกธุรกิจใหม่ที่มีความสามารถในการเติบโตสูง และธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ประจำ รองรับแผนการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน
ภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการนี้ จะสามารถเพิ่มความสามารถในการเติบโตของบริษัทและสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทโฮลดิ้งในระยะยาว ในส่วนของธุรกิจหลัก บริษัทมีแผนจะลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานและพลังงาน ซึ่งสร้างรายได้ประจำ และกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง รวมถึงโครงการสัมปทานอื่นๆ ของภาครัฐ
ส่วนกลุ่มธุรกิจอื่น บริษัทมีแผนที่จะลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีความสามารถในการเติบโตสูง โดยจะพัฒนาและศึกษาความเป็นไปได้ และผลตอบแทนของธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจเทคโนโลยีและสารสนเทศ เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายในระยะสั้น ใน 3-5 ปีข้างหน้า บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้ง จะยังมีรายได้ส่วนใหญ่จากธุรกิจหลัก คือ STEC อยู่ แต่จะเริ่มมีการรับรู้ผลประกอบการในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำเข้ามา ส่วนเป้าหมายระยะยาว ใน 5-10 ปี ข้างหน้า คาดว่าธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำจะมีสัดส่วนแตะ 50% บริษัทตั้งเป้ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของบริษัท จะอยู่ที่ 100,000 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 4,000 ล้านบาท โดยคาดหวังว่าจะมีอัตราส่วน P/E ที่ระดับ 25 เท่า
ขณะเดียวกัน บริษัทคาดว่ากระบวนการเพิกถอนหุ้นของบริษัทฯ ออกจากตลาดหลักทรัพย์และหุ้นของบริษัทโฮลดิ้งจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทนที่หุ้นของบริษัทฯ ในวันเดียวกัน จะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2567
และบริษัทฯ จะดำเนินการโอนย้ายบริษัท บริษัทร่วม และเงินลงทุนในบริษัทอื่น ไปยังบริษัทโลดิ้ง และ/หรือบริษัทย่อยของบริษัทโฮลติ้ง ตามแผนการปรับโครงสร้างของบริษัท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจำแนกแต่ละประเภท ของธุรกิจอย่างชัดเจน รวมทั้ง จำกัดผลกระทบจากความเสี่ยงของแต่ละธุรกิจออกจากกัน ในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2567
ภาคภูมิ กล่าวอีกว่า บริษัทมีความพร้อมในการลงทุนสูงและมีเงินทุนแข็งแกร่ง 30,000-40,000 ล้านบาท จากปัจจุบันบริษัทมีฐานทุนราว 20,000 ล้านบาท และมีเงินลงทุนทรัพย์สินในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกอบกับไม่มีภาระหนี้สินระยะยาว
นอกจากนี้ บริษัทสนใจเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่ๆ ของภาครัฐในปี 2567 โดยเน้นไปยังกลุ่มเมกะโปรเจกต์ ที่มีมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งตลาดที่มีการแข่งขันไม่สูงนัก โดยคาดว่าจะได้รับงานใหม่เข้ามาอีกราว 40,000-50,000 ล้านบาท จากสิ้นปีนี้คาดว่ามีงานในมือ (Backlog) ที่ระดับ 100,000 ล้านบาท
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่