ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แถลงสรุปภาวะประจำเดือนพฤศจิกายน พบดัชนีปิดที่ระดับ 1,380.18 จุด ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า 0.1% และลดลง 17.3% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่สิบ ทำให้ 11 เดือนแรกของปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 192,153 ล้านบาท ท่ามกลางความผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET Index ในปี 2567 มีโอกาสฟื้นตัวได้ จากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) จะเติบโตได้ดีกว่าปีนี้ พร้อมคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ประกอบกับคาดหวังว่าเงินเฟ้อในระดับต่ำจะทำให้ต้นทุนบริษัทจดทะเบียนไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทย ถูกกระทบด้วยปัจจัยต่างประเทศ ทั้งราคาน้ำมันดิบ การท่องเที่ยว และการส่งออก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้ความสามารถการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง ส่วนสภาพคล่องในตลาดหุ้นที่หายไปนั้น เป็นภาวะที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทุกประเทศ ทั้งในเอเชียและยุโรป ที่ต่างลดลง 15-30% อย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกัน เชื่อว่าเมื่อปัจจัยดังกล่าวคลี่คลายมากขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็ว และดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ถือเป็นตัวชี้นำเศรษฐกิจ ก็จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ และมองว่านักลงทุนมีแนวโน้มจะไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น (Risk-on) เพื่อหาผลตอบแทนมากขึ้น หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีทิศทางลดลง โดยเชื่อว่าเม็ดเงินจะไหลเข้าตลาดหุ้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด สถานการณ์ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และทิศทางราคาน้ำมันในอนาคตด้วย
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่า กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ Thailand ESG Fund นั้น นอกจากจะช่วยให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นแล้ว ยังทำให้เกิดฐานของนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้น ซึ่งนักลงทุนรายย่อยสามารถใช้นักลงทุนสถาบันที่มีผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในการบริหารความเสี่ยงได้ และหากภาครัฐเห็นประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนในระยะยาว มองว่าจะสามารถมีการออกกองทุนลักษณะดังกล่าวได้มากขึ้นในปี 2567
ภากร กล่าวอีกว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการปรับวิธีการทำงานและกฎต่างๆ ร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องการทำธุรกรรม “Naked Short Selling” และการทำธุรกรรมผ่านระบบส่งคำสั่งซื้อขายความถี่สูง “HFT” พร้อมยืนยันว่าระบบการตรวจสอบที่เข้มงวดของตลาดหลักทรัพย์ฯ เทียบเท่ามาตรฐานระดับสากล
พร้อมกันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างเชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบมาตรฐานดังกล่าว เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจาทำสัญญาว่าจ้าง คาดว่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ภายในต้นปีหน้า และจะมีการเชิญตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำของโลกมาเป็นที่ปรึกษาด้วย
ติดตามข่าวสารด้านการลงทุนได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment