เริ่มต้นแล้ว สำหรับฤดูประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ที่จะทยอยประกาศตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมนี้ นักลงทุนต่างให้ความสนใจกับบริษัทที่คาดว่าจะมีผลประกอบการออกมาดี ท่ามกลางความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยกับ “Thairath Money” ว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3/66 คาดว่าจะทรงตัว เติบโตราว 2-3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเดิมคาดว่าจะเติบโตได้ที่ระดับ 10%
ทั้งนี้ ปัจจัยที่กดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน ประเมินว่ามาจากราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานได้ไม่มากอย่างที่คาดไว้นัก ขณะเดียวกัน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ได้มีการทยอยประกาศผลประกอบการออกมาแล้วนั้น พบว่ามีการตั้งสำรองสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าด้วย
อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนแนะนำหุ้นในเชิงรับ โดยเน้นไปยังหุ้นที่มีลักษณะธุรกิจไม่ผันผวนตามสภาวะตลาด ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มเฮลท์แคร์
ด้าน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่าเบื้องต้นคาดกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3/66 จะอยู่ที่ 2.3 แสนล้านบาท เติบโต 5% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งยังเป็นภาพการฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ แต่ยังไม่กลับไปสู่ศักยภาพปกติ ที่ควรทำได้ไตรมาสละ 2.5 แสนล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลที่ทำให้การบริโภคและการลงทุนในประเทศชะลอตัว โดยเฉพาะการลงทุนทั้งของภาครัฐและเอกชน ที่สะท้อนผ่านรายงานสินเชื่อกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่เดือนกรกฎาคม และสิงหาคม ที่ -0.7% และ -1.2% ตามลำดับ
ขณะที่ เครื่องชี้วัดการลงทุนรายเดือน ตามการรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่าการลงทุนภาคเอกชนพลิกกลับมาอ่อนตัวลงในเดือนสิงหาคม ทั้งจากเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการลงทุนภาครัฐฯ ยังทรุดต่อเนื่อง จากการจัดตั้งรัฐบาลที่ใช้เวลานานเกินไป
อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จะไม่น่าตื่นเต้น แต่พบว่ามีหลายกลุ่มที่คาดว่าจะเห็นการเติบโต ซึ่งพอจะเก็งกำไรระยะสั้นในช่วง Earning Season รอบนี้ได้ คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากการตั้งสำรองที่ทยอยลดลง และส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย
ส่วนกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น คาดได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่นที่ปรับตัวขึ้น ขณะที่กลุ่มค้าปลีก ได้แรงหนุนจากต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลง และการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ที่เริ่มฟื้นตัว
ด้านกลุ่มการแพทย์ เริ่มกลับมาโตจากปีก่อนได้ในไตรมาส 3/66 เพราะเป็น High Season และฐานกำไรไตรมาส 3/65 ถูกปรับสมดุลจากโควิด-19 แล้ว ส่วนสื่อสาร ได้แรงหนุนจากการแข่งขันที่ลดลง ทำให้ผลประกอบการเริ่มประคองตัวได้
กลุ่มท่องเที่ยว-ยังได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว ส่วนกลุ่มที่ผลประกอบการมีแนวโน้มชะลอตัวจากปีก่อน คือ สื่อทีวี, ยานยนต์ (ไม่รวม AH) ,และอสังหาริมทรัพย์