บล.เคจีไอ มองตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ ดัชนียัง sideways down แม้ตลาดจะดูเหมือนอยู่ในเขต oversold และอาจดีดตัวกลับได้ระหว่างสัปดาห์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯและไทยยังอยู่ในระดับสูง และน่าจะสูงต่อเนื่องจากคาดตัวเลข GPD 3Q66 และตัวเลขการว่างงานรายสัปดาห์จะออกมาแข็งแกร่ง
ขณะที่สถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและฮามาสยังมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งนี้ เมื่ออิงจากโมเดลการคำนวณ earnings yield gap (EYG) ของไทย โดยใช้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีที่ 3.40% และระดับ EYG ระยะยาวที่ 4.1% มองว่าดัชนีอาจแกว่งตัวลงไปได้ถึง 1,360 จุด ก่อนที่ตลาดจะเริ่มนิ่ง
ส่วนปัจจัยในประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยยังคงมีความไม่แน่นอนสูง หลังรัฐบาลไทยยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับแผนการจัดหาเงินทุน 5.60 แสนล้านบาทสำหรับมาตรการ digital wallet
ดังนั้น จึงมองแนวโน้มตลาดแบบระมัดระวัง มองหุ้นกลุ่มแบงก์ และหุ้น defensive ยังเป็นหุ้นเด่นสำหรับเก็งกำไรช่วงสั้น โดยผลประกอบการแบงก์ใหญ่เกือบทุกแห่ง ยกเว้น SCB ออกมาแข็งแกร่งเกินคาดใน 3Q66 เนื่องจาก NIMs แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ชอบ หุ้น BBL และ KBANK ส่วนหุ้น defensive ชอบกลุ่มโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลใหญ่ที่คาดว่าผลประกอบการ 3Q66 จะออกมาแข็งแกร่ง เช่น BDMS และ BH
ปิดท้าย บล.เอเซียพลัส มองการหลุดระดับ 1,400 จุด ของ SET Index ในมุมของ Valuation แล้ว ระดับดัชนีปัจจุบันถือว่าต่ำมาก คือ Market Earning Yield Gap อยู่ที่ 3.8% มีค่า PER ที่ 15.79 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี และ PBV 1.37 เท่า คิดเป็นระดับ-2SD แต่ในเชิงปัจจัยแวดล้อมที่เป็นตัวกำหนด Sentiment ยังเต็มไปด้วยปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง ทั้งจากสงครามอิสราเอล-ฮามาส ตลาดการเงิน Bond Yield สหรัฐฯกลับมาผันผวนอีกครั้ง
ส่วนในประเทศ มี 2 เรื่อง สำคัญคือ Digital Wallet และ แลนด์บริดจ์ ซึ่งต้องตามความคืบหน้าหลังดัชนีหลุดระดับ 1,400 จุดลงมา สัญญาณทาง Technical บ่งชี้ถึงระดับความเสี่ยงของ SET Index ที่มีมากขึ้น หุ้น Top Pick เลือก BH, MAJOR และ WHA!!
อินเด็กซ์ 51
คลิกอ่านคอลัมน์ “เงาหุ้น” เพิ่มเติม